ตลาดหุ้นไทย(SET) ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความผันผวน โดยดัชนีปรับลงหลุดต่ำกว่าระดับ 1,600 จุด ด้วยปัจจัยกดดันหลักจากกังวลปัญหาหนี้ของ China Evergrande Group จะลุกลาม และส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ใน 2 งวดที่ผ่านมา
รวมถึงกังวลว่า Fed จะปรับลด QE เร็วกว่าคาด กดดัน SET หลุดระดับ 1,600 จุด และลงไปทำจุดต่ำบริเวณ 1,591.81 จุด ก่อนจะรีบาวด์ขึ้นมาและปรับตัวขึ้นแรงในช่วงปลายสัปดาห์ ก่อนมาปิดยืนเหนือ 1630 จุดได้อีกครั้ง หลังมีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ นำโดย SCB, KBANK, BBL หลัง SCB ประกาศแผนปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อปลดล็อกและรุกธุรกิจ Non-Bank สวนทางกับกลุ่มไฟแนนซ์-บัตรเครดิตอย่าง KTC, SAWAD, MTC ที่เผชิญแรงขายหลังคาดการแข่งขันในธุรกิจจะรุนแรงขึ้น ส่วนผลประชุม Fed ที่ผ่านมายังไม่ได้ระบุเวลาที่แน่ชัดสำหรับการปรับลด QE ทำให้ตลาดคลายกังวลลง
ด้านแนวโน้ม SET ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,600-1,675 จุด โดยมองตลาดยังกังวลความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของจีน การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลง เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ทำให้ตลาดมีความกังวลบนภาพของ Stagflation ส่งให้กลยุทธ์การลงทุน ยังเน้นการ Selective Buy
โดยมองหุ้นขนาดใหญ่ที่ผันผวนน้อยและมีคุณภาพจะให้ผลตอบแทนที่ดี รวมทั้งหุ้นที่มีความสามารถในการเพิ่มอัตราทำกำไรได้ดีและมีงบดุลแข็งแรงจะช่วยลดความเสี่ยงจากภาพของเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่ดีได้ รวมถึงหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้ ธีมหลักแนะนำ
- หุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดี ได้แก่ BBL, BDMS, HANA, OSP, TU
- หุ้นได้อานิสงส์จากเปิดประเทศและมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ/ท่องเที่ยว ได้แก่ AOT, CRC, BEM, ZEN, ERW, MINT ส่วนธีม Trading Idea แนะนำ
-
- หุ้นที่ราคาปรับลงแรงและมีโอกาสทำ Window Dressing ได้แก่ OR, OSP, SCC, TQM, MAJOR, PTG, SYNEX
- หุ้นที่ได้อานิสงส์ส่งออกเติบโตดี บาทอ่อนค่า ได้แก่ KCE, HANA, III, WICE ส่วนกลุ่มหุ้นที่ควรระมัดระวัง ได้แก่ หุ้นที่มีโอกาสถูกถอดออกจาก SET50 และ SET100 หลัง ตลท. จะปรับปรุงการคำนวณดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ (เปิดฟังความเห็น 20 กันยายน – 1 ตุลาคม 2564) หลังพบดัชนีผันผวนค่อนข้างสูงและอาจไม่สะท้อนความสามารถในการลงทุนของหลักทรัพย์ได้ดี
ทั้งนี้หลักๆ เกณฑ์ใหม่คาดจะมีการนำ Free Float Adjusted มาคิดในส่วนน้ำหนักดัชนี, ปรับนิยาม Free Float ให้ชัดเจนขึ้น และไม่พิจารณาหลักทรัพย์ที่ติด Cash Balance ทุกระดับในช่วงเดือนนั้นมาคำนวณ ซึ่งคาดจะประกาศรายชื่อกลาง ธันวาคม 2564 เพื่อใช้ในรอบการคำนวณครึ่งแรกของปีหน้า
เบื้องต้นหากใช้เกณฑ์ใหม่คาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงที่จะหลุดออกคำนวณ SET50 ได้แก่ DELTA ส่วนหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงที่จะหลุดออกคำนวณ SET100 ได้แก่ NRF และ PSL
ทั้งนี้ ในกลยุทธ์ Selective Buy ที่ดูยังมีความเหมาะสมในช่วงนี้ ท่ามกลางภาวะตลาดที่ผันผวน แนะนำหุ้นน่าสนใจต่างๆ นำมาจัดพอร์ตเป็นหุ้น 5 ตัว เพื่อเป็นแนวทางของท่านผู้อ่านไว้เอาไปปรับใช้ ดังนี้
- BBL แม้ผลประกอบการครึ่งปีหลังจะลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก แต่ในเชิงคุณภาพสินทรัพย์มีความน่ากังวลน้อยสุด ขณะที่แนวโน้มกำไรปี 64-65 จะเติบโตแกร่งสุดในกลุ่มธนาคาร
- AOT คาดได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งช่วยหนุนให้จำนวนการเดินทางปรับตัวเพิ่มขึ้น และยังมีปัจจัยหนุนจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน
- CRC ได้อานิสงส์จาก ศบค. ผ่อนคลายให้เปิดห้างสรรพสินค้าบางส่วนมากขึ้น แต่ให้เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น. แต่คาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการจะยังไม่กลับสู่ระดับปกติ
- MAJOR ในไตรมาสที่ 4 จะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉายหลายเรื่อง รวมถึงจะมีมาตรการเว้นระยะห่างในโรงภาพยนตร์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าและเตรียมพร้อมหาก ศบค. ประกาศผ่อนคลายโรงภาพยนตร์
- III คาดกำไร 2H64 เติบโตเกิน 705%YoY จากค่าระวางที่สูงขึ้น ดีมานด์เติบโตดี และกำลังบริการเพิ่มขึ้น รวมถึงยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก Shipsmile ที่ลงทุนเพิ่มเป็น 38% จาก 30% ใน 2Q64