ถึงแม้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่พบผู้ติดเชื้อในจีนแล้วเกือบ 6,000 รายในขณะนี้จะยังน่าวิตก แต่ความหวังในการรักษาโรคปอดอักเสบอู่ฮั่นให้หายเป็นปกติมีเพิ่มขึ้น โดยทางการจีนเปิดเผยว่าจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายและออกจากโรงพยาบาลแล้วมีเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 รายแล้ว (ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 132 ราย) ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อสู้กับไวรัสโคโรนา
Global Times สื่อทางการจีน รายงานว่าผู้ป่วยหญิงแซ่จินซึ่งอาศัยในนครเซี่ยงไฮ้ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา แต่หลังจากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลท้องถิ่นได้เพียงไม่กี่วัน ขณะนี้อุณหภูมิร่างกายกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ซึ่งถือเป็นผู้ป่วยรายที่ 4 ในเซี่ยงไฮ้ที่ฟื้นตัวดีขึ้นจากโรคปอดอักเสบอู่ฮั่น
นอกจากหญิงในเซี่ยงไฮ้แล้ว กัวฉิน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจีน วัย 38 ปี ซึ่งติดเชื้อจากผู้ป่วยและนอนรักษาตัวในห้องผู้ป่วยฉุกเฉินในอู่ฮั่นก็หายดีเป็นปกติและกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้อีกครั้ง เธอยังให้กำลังใจผู้ป่วยว่าโรคนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดและมีทางรักษาได้
และเมื่อวานนี้ (28 มกราคม) หญิงวัย 87 ปีก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาล หลังรักษาอาการโรคปอดอักเสบเป็นเวลา 8 วัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณบวกว่าผู้ป่วยสูงวัยก็สามารถรักษาให้หายได้
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าห้องแล็บหลายแห่งมีความคืบหน้าสำคัญในการพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ที่ใช้ต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งจุดประกายความหวังว่าจะช่วยหยุดยั้งวิกฤตการระบาดได้ในไม่ช้านี้
ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ โดย หลี่หลันจวน นักวิชาการจากสถาบันวิศวกรรมจีน เปิดเผยว่าจีนน่าจะมีวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สำหรับใช้กับประชาชนภายใน 3 เดือนข้างหน้า โดยในระหว่างนี้จะมีการพัฒนาตัววัคซีนโดยใช้เวลาเดือนครึ่งและทดลองอีกเดือนครึ่ง
ส่วนที่ออสเตรเลีย คณะวิทยาศาสตร์เปิดเผยในวันนี้ (29 มกราคม) ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโคโรนาขึ้นในห้องแล็บ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในวงการแพทย์เพื่อหาทางหยุดยั้งการแพร่กระจายของไวรัส
ขณะที่ South China Morning Post รายงานว่าคณะนักวิจัยฮ่องกงได้พัฒนาวัคซีนตัวใหม่ แต่ต้องใช้เวลาในการทดสอบอีกระยะ เช่นเดียวกับศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยฮ่องกงที่เปิดเผยว่าทีมของเขากำลังพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสเช่นกัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: