เกิดอะไรขึ้น:
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564 บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ได้ประกาศว่าการเข้าซื้อหุ้น (Merger and Partnership: M&P) 70% ใน Duy Tan ได้ดำเนินการสำเร็จเรียบร้อยแล้ว โดยธุรกรรมข้างต้นดำเนินการผ่าน SCGP Rigid Packaging Solution Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCGP ถือหุ้นทั้งหมด โดยมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท
โดยแบ่งการชำระค่าหุ้นทันทีจำนวน 5.2 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะพิจารณาจากผลประกอบการส่วนเพิ่มของ Duy Tan สำหรับงวดปีบัญชี 2563 และ 2564 โดย SCGP จะเริ่มแสดงผลประกอบการของ Duy Tan ในงบการเงินรวมตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564
Duy Tan เป็นผู้ผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปชั้นนำในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติและเจ้าของสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงเป็นส่วนใหญ่ โดยลูกค้ากว่า 50% อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค, 44% อยู่ในกลุ่มของใช้ในบ้าน, 5% อยู่ในกลุ่มภาชนะบรรจุอาหาร และ 1% อยู่ในกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรม
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (27 กรกฎาคม 2564) ราคาหุ้น SCGP ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.57%DoD สู่ระดับ 64.75 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวลง 7.47 จุด หรือลดลง 0.48%DoD สู่ระดับ 1,537.63 จุด
มุมมองระยะสั้น:
การลงทุนใน Duy Tan จะช่วยเติมเต็มกลยุทธ์ T-model ของ SCGP ให้มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ขยายและกระจายฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม และเพิ่มรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากโพลิเมอร์เป็นสองเท่าสู่ ~12% ของรายได้รวมของ SCGP มูลค่าการลงทุนครั้งนี้สมเหตุสมผล โดยคิดเป็นอัตราส่วน P/E ย้อนหลัง 12 เดือนที่ 14 เท่า และ EV/EBITDA ย้อนหลัง 12 เดือนที่ 8-9 เท่า
การรวมดีลนี้เข้ามาแต่ยังไม่ได้รวมประโยชน์จากการผนึกกำลังทางธุรกิจ (เช่น การขายสินค้าเสริมที่เกี่ยวข้อง และการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างการดำเนินงาน) หนุนให้ SCBS ปรับประมาณการกำไรของ SCGP เพิ่มขึ้น 3% ในปี 2564 และ 7% ในปี 2565 (สูงกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่ากำไรของ SCGP จะปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 2-5% ต่อปี โดยมีสาเหตุมาจากกำไรจาก Duy Tan ที่สูงกว่าคาด)
สำหรับแนวโน้มกำไร 2Q64 ของ SCGP SCBS คาดไว้ที่ 1.95 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 33%YoY โดยเกิดจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น และการรับรู้รายได้จากการควบรวมกิจการ SOVI และ Go-Pak แต่กำไร 2Q64 ลดลง 14%QoQ ซึ่งเกิดจากปัจจัยฤดูกาล
ทั้งนี้ในปี 2564 ถึงปัจจุบัน SCGP ได้รวมดีล M&P 3 ดีลในเวียดนามเข้ามาไว้ในงบการเงินรวมแล้ว และดีลทั้งหมดนี้ช่วยหนุนให้ความสามารถในการทำกำไรของ SCGP ปรับตัวดีขึ้น โดยอิงกับอัตรากำไรสุทธิในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมาที่ 10% จาก Sovi, 16% จาก Go-Pak และ 13% จาก Duy Tan เทียบกับอัตรากำไรสุทธิของ SCGP ที่ 7% ในปี 2563 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้กำไรของ SCGP ปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามคือการรวมผลการดำเนินงานของ Intan Group และ Deltalab ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นใน 3Q64 ในเบื้องต้น SCBS คาดว่าดีลเหล่านี้จะช่วยหนุนให้กำไรของ SCGP เพิ่มขึ้นอีก 4-5%
มุมมองระยะยาว:
SCGP ตั้งเป้าเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนผ่านทางการขยายกำลังการผลิตของบริษัท หรือการทำ M&P ในการนำรูปแบบการทำธุรกิจแบบบูรณาการในแนวตั้งในประเทศไทยไปใช้ในประเทศอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงตลาดสู่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่เติบโตสูง และสร้างสรรค์โซลูชันผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น ให้สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน