Chief Investment Office บล.ไทยพาณิชย์ หรือ SCBS CIO เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ SCBS CIO ยังมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตดี มีงบแสดงฐานะทางการเงินและผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ยอดขายและกำไรสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง ได้แก่ หุ้นในหมวด Information Technology และ Consumer Discretionary โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น กลุ่ม FAAMG (Facebook, Amazon, Apple, Microsoft, Google (Alphabet)) ที่ผลการดำเนินงานของบริษัทยืนยันสถานะความแข็งแกร่ง รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการยังครองสัดส่วนตลาดได้ในระดับสูง
นอกจากนี้ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่ม Semiconductor ของสหรัฐฯ ที่ได้ประโยชน์จากกระแส Digital Transformation ที่เร่งตัวขึ้นจากวิกฤตโควิด ทำให้เกิดความต้องการใช้ชิปอย่างมหาศาล และส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนชิปอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2565 และยังได้อานิสงส์จากนโยบาย CHIPS for America Act ที่ให้เงินสนับสนุนทั้งกับผู้ผลิตและผู้วิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเครดิตเงินภาษีคืนให้กับบริษัทด้วย
ทั้งนี้ SCBS CIO มีมุมมองว่า ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในภาพรวมยังมีแนวโน้มออกมาดี โดย Consensus คาดว่า ไตรมาส 2/64 ยอดขายจะเติบโต 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ EPS จะเติบโต 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับกลุ่มที่ Consensus คาด EPS จะออกมาโดดเด่นคือกลุ่ม Cyclical Industrials, Consumer Discretionary, Materials ด้านกลุ่ม FAAMG ยังมีแนวโน้มที่งบในไตรมาส 2/64 จะออกมาดีเช่นกัน โดย Consensus คาด EPS Growth เฉลี่ย อยู่ที่ 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับปัจจัยที่จะช่วยหนุนการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่ม Growth สหรัฐฯ คือ Peak Growth จากการที่ดัชนี Composite PMI (รวมภาคการผลิตและบริการ) สหรัฐฯ ได้ทำจุดสูงในช่วงไตรมาส 2/64 และจะเริ่มมีแนวโน้มทรงตัวถึงปรับลดลงในระยะข้างหน้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาณบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านช่วงการขยายตัวสูงสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยสถิติในอดีตชี้ว่า หุ้นกลุ่ม Growth จะปรับเพิ่มขึ้นได้ดีเมื่อเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยเฉพาะในช่วงที่ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ ยังอยู่เหนือ 50 จุด แต่ทยอยปรับลดลงแบบในปัจจุบัน ซึ่งหุ้นกลุ่ม Growth สหรัฐฯ มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงและมีงบดุลแข็งแกร่ง มักสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่ากลุ่มอื่น
ประการต่อมาคือ Peak Inflation โดยมองว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในช่วง 2H2021 มีแนวโน้มชะลอความร้อนแรงลง ตามผลของฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้าเริ่มหมดไป และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว สอดคล้องกับถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ชี้ว่า เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นระยะนี้เกิดจากปัจจัยชั่วคราวและจะเริ่มแผ่วลงในระยะถัดไป โดยเรามองว่า ในระยะข้างหน้า เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะกลับมาเคลื่อนไหวที่อยู่ระหว่าง 1-3% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับเหนือ 3% ซึ่งจะส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Value/Cyclical สหรัฐฯ ซึ่งได้แก่ กลุ่ม Financials, Energy, Industrials, Materials เริ่มมีความน่าสนใจลดลงเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่ม Growth
ประการสุดท้ายคือ Flattening Yield Curve จากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มส่งสัญญาณปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) สหรัฐฯ อายุ 10 ปี มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่า Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 2 ปี และส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve) สหรัฐฯ ปรับลดความชันลง (Bear Flattening) ในระยะนี้ไปจนถึงช่วงก่อนการประชุมที่ Jackson Hole วันที่ 26-28 สิงหาคมเป็นอย่างเร็ว หรือก่อนการประชุม Fed วันที่ 22 กันยายนเป็นอย่างช้า ซึ่ง Bond Yield ระยะยาวที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำนี้ มีส่วนช่วยหนุนความน่าสนใจของหุ้นกลุ่ม Growth สหรัฐฯ เนื่องจากหุ้นกลุ่ม Growth มีลักษณะการคิดกระแสเงินสดยาว (Long Duration Stock)
อย่างไรก็ดี SCBS CIO ยังมองว่า ความเสี่ยงในประเด็นการปรับขึ้นภาษี (Tax Hike) และการตรวจสอบบริษัทเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ด้านการผูกขาดทางการค้า (Antitrust) ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตา เนื่องจากเม็ดเงินของแผนการใช้จ่ายกระตุ้นการลงทุนโครงร้างพื้นฐาน (Infrastructure Bill) มีแนวโน้มออกมาต่ำกว่าที่ประธานาธิบดีไบเดนเสนอ โดยมีความเป็นไปได้ที่อัตราภาษีสูงสุดที่เรียกเก็บจะออกมาลดลง โดยการปรับขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลบนรายได้จากในประเทศจาก 21% เป็นสูงสุดไม่เกิน 25% (เดิมตั้งเป้าที่ 28%) และการปรับขึ้นภาษีบนรายได้จากต่างประเทศ (GILTI tax) จาก 10.5% เป็นสูงสุดไม่เกิน 15% (เดิมตั้งเป้าที่ 21%) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่กำไร (Earnings) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะถูกปรับประมาณการลง โดยเฉพาะแรงกดดันต่อกลุ่มเทคโนโลยี และจะช่วยหนุนกระแสเงินสดของบริษัทสหรัฐฯ และส่งผลให้บริษัทมีความสามารถที่จะประกาศจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืนมากขึ้น
สำหรับประเด็นเรื่องการตรวจสอบการผูกขาดตลาดของกลุ่ม Big Tech สหรัฐฯ จะเห็นว่า ในแง่ของ Valuation หรือ EV/Sales ของกลุ่ม Big Tech (Facebook, Amazon, Apple, Google) ในปัจจุบันยังเทรดเฉลี่ยค่อนข้างสูงที่ 5.4 เท่า สะท้อนว่านักลงทุนในตลาดยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับความเสี่ยงเรื่อง Antitrust ว่าจะกระทบต่อ Valuation มากนัก เช่นเดียวกันกับแนวโน้มการเติบโตของยอดขาย (Sales Growth) ของกลุ่มฯ ที่ไม่ได้ตอบรับความเสี่ยงเช่นกัน เห็นได้จากตั้งแต่ต้นปี Consensus คาด Sales Growth สำหรับปี 2565 ของกลุ่มฯ ถูกปรับประมาณการเพิ่มขึ้นกว่า 17% ขณะที่คาด Sales Growth โดยเฉลี่ย ตั้งแต่ปี 2562-2566 ของกลุ่มฯ ยังขยายตัวสูงถึง 19% ต่อปี
ทั้งนี้ ประเมินว่าประเด็นการฟ้องร้องเรื่อง Antitrust ของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อบริษัทเทคโนโลยีที่มีพฤติกรรมผูกขาด มักใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานตั้งแต่เริ่มตั้งข้อกล่าวหาจนถึงกำหนดบทลงโทษ เช่น กรณีของ AT&T และ Microsoft ที่ศาลสหรัฐฯ ใช้เวลาการไต่สวนนานถึง 8 ปี และ 2-3 ปี ตามลำดับ จึงทำให้นักลงทุนไม่ได้ให้น้ำหนักเรื่องนี้บนกลุ่มฯ มากนัก ความเสี่ยงโดยรวมจึงค่อนข้างจำกัดในปีนี้
โดยสรุป SCBS CIO ยังมีมุมมองที่ดีต่อหุ้นกลุ่ม Growth ของสหรัฐฯ เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนทั้งจากประเด็นที่การเติบโตของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ได้ผ่านช่วงการเติบโตในระดับสูงสุดไปแล้ว ในช่วงไตรมาส 2/64 (Peak Growth & Peak Inflation) และ Yield Curve สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับลดความชันลง (Flattening) รวมทั้งผลประกอบการของหุ้นกลุ่ม Growth ที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวแข็งแกร่ง ขณะที่ความเสี่ยงที่ผลประกอบการจะถูกปรับประมาณการลดลงจากแผนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง แม้ว่าความเสี่ยงเรื่อง Antitrust ที่อาจเพิ่มสูงขึ้น จะสามารถสร้างความผันผวนให้หุ้นกลุ่ม Growth สหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Big Tech ในช่วงสั้นก็ตาม