×

SCBS CIO มองบวกหุ้นกลุ่ม Growth สหรัฐฯ หลังผลประกอบการยังโตแข็งแกร่ง ความเสี่ยงจากแผนปรับขึ้นภาษีลดลง

23.07.2021
  • LOADING...
หุ้นกลุ่มเติบโต

Chief Investment Office บล.ไทยพาณิชย์ หรือ SCBS CIO เปิดเผยว่า ​​ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ SCBS CIO ยังมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตดี มีงบแสดงฐานะทางการเงินและผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ยอดขายและกำไรสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง ได้แก่ หุ้นในหมวด Information Technology และ Consumer Discretionary โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น กลุ่ม FAAMG (Facebook, Amazon, Apple, Microsoft, Google (Alphabet)) ที่ผลการดำเนินงานของบริษัทยืนยันสถานะความแข็งแกร่ง รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการยังครองสัดส่วนตลาดได้ในระดับสูง

 

นอกจากนี้ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่ม Semiconductor ของสหรัฐฯ ที่ได้ประโยชน์จากกระแส Digital Transformation ที่เร่งตัวขึ้นจากวิกฤตโควิด ทำให้เกิดความต้องการใช้ชิปอย่างมหาศาล และส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนชิปอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2565 และยังได้อานิสงส์จากนโยบาย CHIPS for America Act ที่ให้เงินสนับสนุนทั้งกับผู้ผลิตและผู้วิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเครดิตเงินภาษีคืนให้กับบริษัทด้วย

 

ทั้งนี้ SCBS CIO มีมุมมองว่า ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในภาพรวมยังมีแนวโน้มออกมาดี โดย Consensus คาดว่า ไตรมาส 2/64 ยอดขายจะเติบโต 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ EPS จะเติบโต 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับกลุ่มที่ Consensus คาด EPS จะออกมาโดดเด่นคือกลุ่ม Cyclical Industrials, Consumer Discretionary, Materials ด้านกลุ่ม FAAMG ยังมีแนวโน้มที่งบในไตรมาส 2/64 จะออกมาดีเช่นกัน โดย Consensus คาด EPS Growth เฉลี่ย อยู่ที่ 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

สำหรับปัจจัยที่จะช่วยหนุนการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่ม Growth สหรัฐฯ คือ Peak Growth จากการที่ดัชนี Composite PMI (รวมภาคการผลิตและบริการ) สหรัฐฯ ได้ทำจุดสูงในช่วงไตรมาส 2/64 และจะเริ่มมีแนวโน้มทรงตัวถึงปรับลดลงในระยะข้างหน้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาณบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านช่วงการขยายตัวสูงสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยสถิติในอดีตชี้ว่า หุ้นกลุ่ม Growth จะปรับเพิ่มขึ้นได้ดีเมื่อเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยเฉพาะในช่วงที่ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ ยังอยู่เหนือ 50 จุด แต่ทยอยปรับลดลงแบบในปัจจุบัน ซึ่งหุ้นกลุ่ม Growth สหรัฐฯ มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงและมีงบดุลแข็งแกร่ง มักสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่ากลุ่มอื่น

 

ประการต่อมาคือ Peak Inflation โดยมองว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในช่วง 2H2021 มีแนวโน้มชะลอความร้อนแรงลง ตามผลของฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้าเริ่มหมดไป และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว สอดคล้องกับถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ชี้ว่า เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นระยะนี้เกิดจากปัจจัยชั่วคราวและจะเริ่มแผ่วลงในระยะถัดไป โดยเรามองว่า ในระยะข้างหน้า เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะกลับมาเคลื่อนไหวที่อยู่ระหว่าง 1-3% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับเหนือ 3% ซึ่งจะส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Value/Cyclical สหรัฐฯ ซึ่งได้แก่ กลุ่ม Financials, Energy, Industrials, Materials เริ่มมีความน่าสนใจลดลงเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่ม Growth

 

ประการสุดท้ายคือ Flattening Yield Curve จากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มส่งสัญญาณปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) สหรัฐฯ อายุ 10 ปี มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่า Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 2 ปี และส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve) สหรัฐฯ ปรับลดความชันลง (Bear Flattening) ในระยะนี้ไปจนถึงช่วงก่อนการประชุมที่ Jackson Hole วันที่ 26-28 สิงหาคมเป็นอย่างเร็ว หรือก่อนการประชุม Fed วันที่ 22 กันยายนเป็นอย่างช้า ซึ่ง Bond Yield ระยะยาวที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำนี้ มีส่วนช่วยหนุนความน่าสนใจของหุ้นกลุ่ม Growth สหรัฐฯ เนื่องจากหุ้นกลุ่ม Growth มีลักษณะการคิดกระแสเงินสดยาว (Long Duration Stock)

 

อย่างไรก็ดี SCBS CIO ยังมองว่า ความเสี่ยงในประเด็นการปรับขึ้นภาษี (Tax Hike) และการตรวจสอบบริษัทเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ด้านการผูกขาดทางการค้า (Antitrust) ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตา เนื่องจากเม็ดเงินของแผนการใช้จ่ายกระตุ้นการลงทุนโครงร้างพื้นฐาน (Infrastructure Bill) มีแนวโน้มออกมาต่ำกว่าที่ประธานาธิบดีไบเดนเสนอ โดยมีความเป็นไปได้ที่อัตราภาษีสูงสุดที่เรียกเก็บจะออกมาลดลง โดยการปรับขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลบนรายได้จากในประเทศจาก 21% เป็นสูงสุดไม่เกิน 25% (เดิมตั้งเป้าที่ 28%) และการปรับขึ้นภาษีบนรายได้จากต่างประเทศ (GILTI tax) จาก 10.5% เป็นสูงสุดไม่เกิน 15% (เดิมตั้งเป้าที่ 21%) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่กำไร (Earnings) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะถูกปรับประมาณการลง โดยเฉพาะแรงกดดันต่อกลุ่มเทคโนโลยี และจะช่วยหนุนกระแสเงินสดของบริษัทสหรัฐฯ และส่งผลให้บริษัทมีความสามารถที่จะประกาศจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืนมากขึ้น

 

สำหรับประเด็นเรื่องการตรวจสอบการผูกขาดตลาดของกลุ่ม Big Tech สหรัฐฯ จะเห็นว่า ในแง่ของ Valuation หรือ EV/Sales ของกลุ่ม Big Tech (Facebook, Amazon, Apple, Google) ในปัจจุบันยังเทรดเฉลี่ยค่อนข้างสูงที่ 5.4 เท่า สะท้อนว่านักลงทุนในตลาดยังไม่ได้ให้น้ำหนักกับความเสี่ยงเรื่อง Antitrust ว่าจะกระทบต่อ Valuation มากนัก เช่นเดียวกันกับแนวโน้มการเติบโตของยอดขาย (Sales Growth) ของกลุ่มฯ ที่ไม่ได้ตอบรับความเสี่ยงเช่นกัน เห็นได้จากตั้งแต่ต้นปี Consensus คาด Sales Growth สำหรับปี 2565 ของกลุ่มฯ ถูกปรับประมาณการเพิ่มขึ้นกว่า 17% ขณะที่คาด Sales Growth โดยเฉลี่ย ตั้งแต่ปี 2562-2566 ของกลุ่มฯ ยังขยายตัวสูงถึง 19% ต่อปี

 

ทั้งนี้ ประเมินว่าประเด็นการฟ้องร้องเรื่อง Antitrust ของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อบริษัทเทคโนโลยีที่มีพฤติกรรมผูกขาด มักใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานตั้งแต่เริ่มตั้งข้อกล่าวหาจนถึงกำหนดบทลงโทษ เช่น กรณีของ AT&T และ Microsoft ที่ศาลสหรัฐฯ ใช้เวลาการไต่สวนนานถึง 8 ปี และ 2-3 ปี ตามลำดับ จึงทำให้นักลงทุนไม่ได้ให้น้ำหนักเรื่องนี้บนกลุ่มฯ มากนัก ความเสี่ยงโดยรวมจึงค่อนข้างจำกัดในปีนี้

 

โดยสรุป SCBS CIO ยังมีมุมมองที่ดีต่อหุ้นกลุ่ม Growth ของสหรัฐฯ เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนทั้งจากประเด็นที่การเติบโตของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ได้ผ่านช่วงการเติบโตในระดับสูงสุดไปแล้ว ในช่วงไตรมาส 2/64 (Peak Growth & Peak Inflation) และ Yield Curve สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับลดความชันลง (Flattening) รวมทั้งผลประกอบการของหุ้นกลุ่ม Growth ที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวแข็งแกร่ง ขณะที่ความเสี่ยงที่ผลประกอบการจะถูกปรับประมาณการลดลงจากแผนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง แม้ว่าความเสี่ยงเรื่อง Antitrust ที่อาจเพิ่มสูงขึ้น จะสามารถสร้างความผันผวนให้หุ้นกลุ่ม Growth สหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Big Tech ในช่วงสั้นก็ตาม

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising