SCB EIC มอง ‘บาทแข็ง’ ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ และอาจกลายเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม มอง.ธปท. อาจแทรกแซงเงินบาทได้จำกัด เนื่องจากไทยเข้าข่ายเกณฑ์ ‘บิดเบือนค่าเงิน’ สหรัฐฯ 2 ใน 3 เกณฑ์แล้ว
ประเด็นสำคัญ
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยแข็งขึ้นเร็วในปีนี้กว่า 8% YTD นับเป็นการแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี และแข็งนำคู่แข่งในภูมิภาคนี้ ‘ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ’
พร้อมเตือนว่า เงินบาทที่แข็งอาจกลายเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม (Shock Amplifier) ที่กระทบความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกซ้ำเติม จากผลกระทบภาษีทรัมป์ รวมถึงกดดันการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
“โดยปกติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ค่าเงินควรจะอ่อนค่าลง เพื่อทำหน้าที่เป็น Shock Absorber เพื่อกระตุ้นการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่ในปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณไม่แข็งแรงและเปราะบาง ‘ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ’ เช่น ผลตอบแทนตลาดหุ้น ที่ติดลบอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และดอกเบี้ยส่วนต่างที่ต่ำกว่าสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทกลับแข็งค่าอย่างมาก ส่งผลให้เกิดความกังวลว่า ค่าเงินกำลังทำหน้าที่เป็น Shock Amplifier ที่จะทำให้เศรษฐกิจยิ่งแย่รุนแรงขึ้น ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยวจะประสบปัญหาลำบาก” ดร.ยรรยง
รวมผล US Reciprocal tariffs พบไทย ‘เสียเปรียบ’ จากค่าเงินแข็ง
ดร.ยรรยง กล่าวอีกว่า เงินบาทแข็งค่านำภูมิภาคจะทำให้สินค้าส่งออกไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เวียดนาม และมาเลเซีย ที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ในอัตราใกล้เคียงกัน แต่ค่าเงินไม่ได้แข็งค่าเท่าไทย
อย่างไรก็ตาม ส่งออกไทยยังได้เปรียบไต้หวัน จีน และอินเดีย เนื่องจากประเทศเหล่านี้ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ในอัตราสูงกว่าไทยมาก
เปิดอุตสาหกรรม ได้-เสียประโยชน์ จากบาทแข็ง
SCB EIC ยังเปิดเผยว่า เงินบาทที่ผันผวนและมีแนวโน้มแข็งค่า คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ซึ่งระดับความรุนแรงขึ้นกับสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออกและการนำเข้าปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศที่ต่างกันไป
โดยกลุ่มธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงจากบาทแข็ง ได้แก่ อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกสูงและใช้ปัจจัยการผลิตจากในประเทศเป็นหลัก เช่น สินค้าเกษตร รวมถึงธุรกิจบริการที่พึ่งพารายได้ต่างชาติสูง เช่น ภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากการแปลงรายได้ดอลลาร์สหรัฐเป็นรูปเงินบาทเพื่อจ่ายค่าวัตถุดิบและค่าจ้าง ในช่วงบาทแข็งอาจขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบต่ำหรือแทบไม่ได้รับผลกระทบ (Low impact/Neutral) คือกลุ่มที่มี Natural Hedging ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผลิตเพื่อส่งออกและใช้ปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศ ในสัดส่วนค่อนข้างสูงใกล้เคียงกัน และกลุ่มธุรกิจบริการที่พึ่งพารายได้ต่างชาติและมีต้นทุนปัจจัยการผลิต/ค่าใช้จ่ายสกุลเงินต่างประเทศ
ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน เช่น ทูน่า ปิโตรเคมี E&E ยานยนต์ Solar PV สายการบิน และโรงพยาบาล เป็นต้น
ขณะที่กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์ทางบวก ได้แก่ กลุ่มที่ผลิตเพื่อตลาดในประเทศเป็นหลัก แต่พึ่งพาปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศในสัดส่วนค่อนข้างสูง จะได้ประโยชน์จากต้นทุนนำเข้าถูกลง ส่งผลดีต่อกำไรสุทธิ และกลุ่มธุรกิจต่อเนื่องที่มีรายได้ในประเทศเป็นหลักจะได้อานิสงส์จากต้นทุนวัตถุดิบถูกลง ส่งผลดีต่อกำไรสุทธิ เช่น ก่อสร้าง เครื่องดื่ม เหล็กกล้า พลังงาน ค้าปลีก ค้าส่ง และร้านอาหารเป็นต้น
จับตาการแทรกแซงค่าเงินของแบงก์ชาติ
ดร.ยรรยง ตั้งข้อสังเกตว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจ เข้าดูแลค่าเงินในช่วงบาทแข็งค่าแรง แต่มูลค่าการแทรกแซงอาจไม่สูงมากนัก หากประเมินจากปัจจัย Valuation Change ประกอบด้วย
โดยอธิบายว่า “มีการตั้งข้อสังเกตว่ายอดเงินสำรองระหว่างประเทศของธปท. ได้เพิ่มขึ้นในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ ธปท. เข้าไปดูแลค่าเงินโดยการซื้อดอลลาร์และขายบาท เพื่อชะลอการแข็งค่าของเงิน
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของตัวเลขเงินสำรองอาจมาจากสาเหตุอื่น เช่น Valuation Change หรือการแปลงค่าเงินสกุลอื่นในตะกร้า เช่น ยูโรหรือเยน เป็นดอลลาร์ หรือทองคำที่ ธปท. ซื้อเพิ่มและราคาสูงขึ้น
ดังนั้น เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่เพิ่มขึ้นนี้อาจไม่ได้สะท้อนภาพ การแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. ทั้งหมด เนื่องจากผล Valuation change รวมอยู่ด้วยในการตีมูลค่าเงินทุนสำรองฯ”
ประเมินความเสี่ยงข้อหา FX Manipulation
ดร.ยรรยง กล่าวอีกว่า อีกเหตุผลที่การแทรกแซงค่าเงินของ ธปท. อาจทำได้จำกัดเนื่องจากทางการสหรัฐฯ จับตาประเทศคู่ค้าหลักในประเด็นแทรกแซงค่าเงิน (FX Manipulation)
โดยแม้ขณะนี้ไทยยังไม่ติดอยู่ใน Monitoring list แต่มีความเสี่ยง
เนื่องจากไทยเข้าข่ายแล้ว 2 ใน 3 เกณฑ์ (อีกเกณฑ์ที่ไทยยังไม่เข้า
ข่ายคือ แทรกแซงค่าเงินโดยซื้อดอลลาร์สหรัฐสุทธิมากกว่า 8 เดือน
ในรอบ 12 เดือน เป็นมูลค่าสูงกว่า 2% ของ GDP)
“ประเด็นการแทรกแซงนี้ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากอาจทำให้ประเทศไทยเข้าใกล้เงื่อนไขที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ อาจขึ้นบัญชีเป็นประเทศ FX Manipulator โดย ปัจจุบัน ไทยเข้าข่าย 2 ใน 3 เงื่อนไขแล้ว ได้แก่ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเกิน 3% และการเกินดุลการค้าเกิน สำหรับเงื่อนไขสุดท้ายคือการเข้าซื้อดอลลาร์เกิน 2% ของ GDP ในช่วง 8 เดือนจาก 12 เดือนล่าสุดนั้น รายงานล่าสุดไทยยังไม่เข้าข่าย แต่หากมองไปข้างหน้า การเพิ่มขึ้นของตัวเลขเงินสำรองฯ ก็เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม”
พบ Home Bias ปัญหาเชิงโครงสร้างดันบาทแข็ง
ดร.ยรรยงกล่าวอีกว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามลำดับ ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งสะท้อนปรากฏการณ์ Home Bias คือคนไทยส่วนใหญ่ยังคงถือสินทรัพย์อยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก หรือมีการลงทุนในต่างประเทศค่อนข้างน้อย
พร้อมแนะว่า ในหลายประเทศที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง สามารถส่งเสริมให้คนและธุรกิจไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างกระแสเงินทุนสวนทาง (Counter Flow) เพื่อรับมือกับการแข็งค่าของค่าเงินได้ ซึ่งไทยยังคงมีประเด็นนี้อยู่ และเป็นประเด็นเชิงโครงสร้างที่ต้องปรับตัวต่อไป
แบงก์ชาติจับตาใกล้ชิด ความกังวล ‘การเก็งกำไรค่าเงินบาท’
ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเก็งกำไร ดร.ยรรยง มองว่า ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ และกำลังทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง และกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูแลเสถียรภาพของค่าเงิน และหาต้นตอของธุรกรรมที่น่าสงสัยอาจนำไปสู่การเก็งกำไร
“ปกติสิ่งที่แบงก์ชาติก็จะทำเป็นสเต็ป ถ้าเห็นว่า Transaction ประเภทไหนที่เป็นต้นเหตุเกิดการเก็งกำไร ส่วนแรกที่จะทำก่อนก็คือขอข้อมูล ให้ช่วยรายงาน Flow จะได้ส่องแสงสว่างเข้าไปตรงนั้น แล้วก็ช่วยกันตรวจสอบว่า เป็นการเก็งกำไรระยะสั้น ที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า” ดร.ยรรยง กล่าวต่อว่า การบริหารจัดการค่าเงินบาทเป็นเรื่องที่คาดการณ์และบริหารจัดการได้ยากลำบาก โดยควรทำด้วย นโยบายปรับโครงสร้าง เช่น การส่งเสริมให้คนไทยหรือธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น และการปรับพฤติกรรมการป้องกันความเสี่ยง (hedging)
ในระยะต่อไป SCB ยังคาดว่า เงินบาทอาจยังมีแรงกดดันแข็งค่าต่อเนื่อง โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และ Fed อาจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น เป็นปัจจัยหลัก รวมถึงปัจจัยราคาทองคำ และการแลกรายได้ส่งออกรูป USD กลับเป็นเงินบาทหลังเติบโตดีจาก Front-Load เป็นต้น
โดย SCB FM มองเงินบาทอยู่ในกรอบ 31.50-32.00 ในช่วงเดือนนี้ และจะแข็งค่าสู่ 31.0-32.0 ช่วงสิ้นปี 2025 และ 31.5-32.5 ช่วงสิ้นปี 2026