บลจ.ไทยพาณิชย์ ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเผชิญความท้าทาย ส่งสัญญาณชะลอตัว มีหลายปัจจัยกดดันทำตลาดหุ้นผันผวน จับตา Fed ประชุมดอกเบี้ย 13-14 มิถุนายนนี้ แนะนำกองทุน SCB Global Quality Equity รับมือความผันผวน
ปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล Director, ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ (SCBAM) เปิดเผยผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 2/23 ของสหรัฐฯ ประเมินว่ามีทั้งปัจจัยบวกและยังเผชิญปัจจัยท้าทายหลายประเด็น โดยปัจจัยบวกคือ ตัวเลข GDP ไตรมาส 1/23 ที่รายงานออกมาในรอบที่ 2 ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยขยาย 1.3% จากรอบที่ 1 ที่รายงานออกมาขยายตัว 1.1%
ขณะที่แนวโน้ม GDP ไตรมาส 2/23 ของสหรัฐฯ คาดการณ์ผ่าน GDP Now ประเมินว่าจะขยายตัว 6.9% จากไตรมาส 1/23 (QoQ) โดยจะยังไม่เห็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ดังนั้นความเสี่ยงที่หากจะเกิด Recession ขึ้นในสหรัฐฯ กรณีที่รวดเร็วที่สุดจะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลลงได้บ้างว่า Recession จะเกิดช้ากว่าที่เคยคาดไว้
อย่างไรก็ดี มีตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจของสหรัฐฯ บางตัวที่รายงานออกมาที่อ่อนแอในภาคการผลิต เช่น ดัชนี PMI รวมทั้งตัวเลขดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ (Leading Economic Indicator: LEI) เริ่มเห็นการลดลงของตัวเลขอย่างต่อเนื่อง จึงมีโอกาสที่จะเห็น GDP ของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงได้ในระยะถัดไป
สำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่จะมีการประชุมในวันที่ 13-14 มิถุนายนนี้ จะเป็นจุดสำคัญที่ต้องติดตามผลประชุมดอกเบี้ย รวมถึงการเปิดเผยรายงานมุมมองแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะต่อไป หรือ Fed Dot Plot ด้วย หลังจากที่ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดเริ่มกลับมาให้น้ำหนักว่า Fed จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ หลังจากก่อนหน้านี้คาดว่าจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ กลับมาเร่งตัวขึ้น รวมถึงปัญหาเพดานหนี้ (Debt Ceiling) ของสหรัฐฯ ที่สามารถเจรจาบรรลุข้อตกลงได้แล้ว ส่งผลให้การดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ไม่จำเป็นต้องมีความระมัดระวังมากเท่ากับในช่วงที่ยังมีประเด็นปัญหา Debt Ceiling อยู่
ขณะที่ปัญหา Debt Ceiling ในสหรัฐฯ ถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนานและต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมายังสามารถบรรลุข้อตกลงได้ทุกครั้ง ทั้งนี้ ในช่วงที่มีการเจรจาอาจสร้างความกังวลและกดดันให้เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นได้เช่นกัน
ด้านภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 1/23 ที่ออกมาสัดส่วนประมาณ 90% ในดัชนี S&P500 ในส่วนของรายได้รวมมีการเติบโตขึ้นประมาณ 4.1% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/20 ขณะที่กำไรสุทธิออกมามีอัตราการเติบโตติดลบประมาณ 2.1% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการลดลงของกำไรสุทธิใน 2 ไตรมาสติดต่อกัน
อย่างไรก็ดี ตัวเลขกำไรของ บจ.ไตรมาส 1/23 ในดัชนี S&P 500 ที่ออกมาจริงมีสัดส่วน 76% ของบริษัทที่รายงานออกมามีรายได้ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ อีกทั้งมีบริษัทสัดส่วนประมาณ 78% รายงานกำไรสุทธิออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนในช่วงนี้ ส่งผลกดดันให้เห็นภาพของความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดังนั้นธีมการลงทุนแนะนำให้เน้นการให้ความสำคัญในปัจจัยเชิงคุณภาพ โดยพิจารณาการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีลักษณะดังนี้
- มีผลตอบต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่สูง
- มีการเติบโตของผลประกอบการที่มั่นคง
- มีอัตราการกู้ยืมที่ต่ำ (Low Leverage)
โดยมีกองทุนแนะนำคือ SCB Global Quality Equity ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในกองทุน iShares Edge MSCI World Quality Factor UCITS ETF ซึ่งจะเป็น ETF ที่ลงทุนใน Index ที่มีการคัดเลือกหุ้นที่เน้นจากปัจจัยเชิงคุณภาพดังกล่าวข้างต้น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้ภาพการลงทุนสามารถทนแรงเสียดทานจากความไม่แน่นอนในช่วงนี้ได้ ขณะที่หุ้นที่ ETF มีการลงทุนในหุ้นที่มีความผสมผสานทั้งหุ้น TECH ขนาดใหญ่ เช่น Microsoft, Meta, Apple และ Google รวมทั้งหุ้นกลุ่มการเงิน, กลุ่มเฮลท์แคร์ และยังมีการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive อื่นๆ เป็นทางเลือกการลงทุนในช่วงนี้