ธนาคารไทยพาณิชย์ และ เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต (FWD ประเทศไทย) ขยายอายุสัญญาความร่วมมือในธุรกิจประกันชีวิตผ่านธนาคารต่อเนื่องอีก 2 ปี เพื่อต่อยอดความสำเร็จของการเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสององค์กรในช่วงที่ผ่านมา โดย เอฟดับบลิวดี ประเทศไทย มีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่ 67% ในปี 2562 มาอยู่ที่มูลค่า 270 ล้านดอลลาร์ในปี 2565
กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2562 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศความร่วมมือด้านประกันชีวิตร่วมกับกลุ่มเอฟดับบลิวดี เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตผ่านธนาคาร ทั้งสององค์กรได้ร่วมกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านความคุ้มครองและนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้แก่ลูกค้า มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้ธุรกิจประกันชีวิตผ่านธนาคารของธนาคารไทยพาณิชย์ครองอันดับ 1 ในตลาดในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสององค์กรจึงตัดสินใจขยายความร่วมมือกันต่อไป โดยจะร่วมมือกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตด้วยตัวเลือกที่หลากหลายครอบคลุมความต้องการของลูกค้าในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างโอกาสการเติบโตในกลุ่มลูกค้า Affluent และกลุ่มผู้ใช้งานดิจิทัลซึ่งเป็นเป้าหมายทางธุรกิจใหม่ของธนาคาร ความร่วมมือในครั้งนี้จะยังผลให้ธนาคารรักษาความเป็นผู้นำทางการตลาดอย่างแข็งแกร่ง
ปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นหนึ่งในธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ (D-SIBs) มีจำนวนสาขา 660 สาขา (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565) และได้นำผลิตภัณฑ์และบริการของเอฟดับบลิวดี ประเทศไทย มารวมไว้บนเครื่องมือดิจิทัลของธนาคารอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีผู้ใช้บริการสูงถึง 78% จากจำนวนลูกค้าทั้งหมดของธนาคาร และเมื่อสิ้นปี 2565 เอฟดับบลิวดี ประเทศไทย มีจำนวนผู้ถือกรมธรรม์ที่มาจากการเป็นพันธมิตรร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 1.4 ล้านราย
ปีเตอร์ กริมส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจประจำประเทศไทยและกัมพูชาของเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต กล่าวว่า นับตั้งแต่กลุ่มเอฟดับบลิวดีเข้าซื้อกิจการประกันชีวิตของธนาคารไทยพาณิชย์ และเริ่มทำงานร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ธุรกิจในประเทศไทยได้ขยายการเติบโตทั้งในด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและการสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง และภายใน 6 เดือนนับจากการจับมือเป็นพันธมิตร ได้ประสบความสำเร็จและก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจประกันชีวิตผ่านธนาคาร โดยพิจารณาจากเบี้ยประกันภัยรับรวม ตามข้อมูลของสมาคมประกันชีวิตไทย
ธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยยังคงมีโอกาสเติบโตและเปี่ยมไปด้วยศักยภาพ ดังจะเห็นได้จากจำนวนประชากรที่ยังไม่สามารถเข้าถึงการประกันภัยอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการถือครองกรมธรรม์อยู่ที่ 3.8% อ้างอิงจากข้อมูล ณ สิ้นปี 2564 และยังมีโอกาสในการลดช่องว่างความคุ้มครองประกันภัย (Protection Gap) ของประเทศคิดเป็นมูลค่า 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากจำนวนประชากร 72 ล้านคน โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้มวลรวมประชาชาติเฉลี่ยต่อคน (Thailand Income per Capita) อยู่ที่ 3.9% วัด ณ สิ้นปี 2564 เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 3.0% และมีอัตราการใช้งานโทรศัพท์มือถือและเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประเทศอยู่ที่ 96% และ 68% ตามลำดับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ธนาคารออมสิน เปิดตัวเงินฝากดอกเบี้ยขั้นบันได จ่ายสูงสุด 4.5% และ 10% หวังส่งเสริมการออมระยะยาว
- ส่องแบงก์รัฐ-พาณิชย์ ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ เท่าไรกันบ้าง? หลัง กนง. ประชุมนัดแรกของปี 2566
- คลอดแล้ว! เกณฑ์ ‘Virtual Bank’ ธปท. จำกัดไลเซนส์แค่ 3 ราย เผยมีผู้สนใจแล้ว 10 ราย เล็งประกาศผลกลางปีหน้าก่อนเริ่มให้บริการจริงปี 68