ช่วงเวลากว่า 7 เดือนของปี 2565 เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการเผชิญหน้ากับปัจจัยเสี่ยง ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดขึ้น จนหลายคนเรียกช่วงเวลาของปีนี้ว่า ‘Perfect Storm’ ไม่ว่าจะเป็นการระบาดของโควิดที่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีแรก ทำให้ประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 อย่างจีนต้องประกาศปิดเมืองตามนโยบาย Zero-COVID
ขณะที่สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังคงยืดเยื้อ จนราคาพลังงานและอาหารแพงขึ้น นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อสูงทั่วโลก กระทั่งธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องพยายามควบคุมเงินเฟ้อโดยการขึ้นดอกเบี้ยและลดสภาพคล่อง นำมาซึ่งความเสี่ยงในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นลบต่อตลาดหุ้น
นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนี MSCI All Country World Index ซึ่งเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับตัวลดลง 18.4% (ณ วันที่ 20 กรกฎาคม 2565) บนความเสี่ยงที่อาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นแต่ละประเทศก็มีผลตอบแทนที่บวกลบมากน้อยต่างกันไป สำหรับนักลงทุนไทย การกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศนับว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และยังเป็นการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น รวมถึงการเพิ่มโอกาสลงทุนในอุตสาหกรรมที่แตกต่างไปจากในประเทศ
แต่หลายคนอาจมีคำถามขึ้นมาว่า เราจะเลือกหุ้นอย่างไรดี? หากต้องการจะกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลา Perfect Storm เช่นนี้
ทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์หุ้นทุกตัวได้ ไม่ว่าขอบเขตการลงทุนของเราจะขยายออกไปใหญ่แค่ไหนคือ แนวทางการเลือกหุ้นแบบ Factor Investing
Factor Investing คืออะไร?
Factor Investing เป็นที่รู้จักกันมานานในต่างประเทศ แต่ในไทยเริ่มให้ความสนใจกันเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลักการเบื้องต้นคือการคิดคำนวณในเชิงปริมาณ โดยใช้มาตราทางคณิตศาสตร์เพื่อเลือกหุ้นตามปัจจัยแต่ละด้าน โดยนักลงทุนจะนำข้อมูลของปัจจัย (Factor) ต่างๆ ได้แก่
- Value อาจใช้ค่า P/E หรือ P/BV โดยจะให้คะแนนสูงกับหุ้นที่มีค่า P/E หรือ P/BV ต่ำ
- Quality อาจวัดจากกระแสเงินสดหรืออัตราผลตอบแทนจากส่วนของเจ้าของ (ROE) โดยให้คะแนนสูงกับหุ้นที่มีกระแสเงินสดหรือ ROE สูง
- Momentum อาจใช้ผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือนล่าสุดเป็นตัวแทน โดยให้คะแนนสูงกับหุ้นที่มีผลตอบแทนย้อนหลังสูง
- Growth อาจวัดจากอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ โดยให้คะแนนสูงกับหุ้นที่มีการเติบโตสูง
- Volatility อาจวัดจากความผันผวนของราคาหุ้น โดยให้คะแนนสูงกับหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ
ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถเลือกผสมผสานปัจจัยต่างๆ ได้ตามปรัชญาการลงทุนของแต่ละคน เช่น นักลงทุนที่ชื่นชอบหุ้น Value และ Quality อาจใช้คะแนนของ 2 ปัจจัยนี้มารวมกันเพื่อเลือกหุ้นที่มีคะแนนรวมสูงสุด หรืออีกแนวทางหนึ่งคืออาจใช้หลัก Factor Investing เพื่อปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับช่วงเวลาในวงรอบเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น ช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้ หุ้นกลุ่ม Growth สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Value แต่ในปี 2564 หุ้นกลุ่ม Value ในหลายภูมิภาคสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นกลุ่ม Growth
ทางเลือกการลงทุนในภาวะ Bear Market
สำหรับช่วงเวลานี้ที่เศรษฐกิจเผชิญกับความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะตลาดหมี (Bear Market) ปัจจัยที่น่าสนใจในการคัดเลือกหุ้นอาจเป็น Quality และ Value สะท้อนถึงการเป็นผู้นำตลาด มีปัจจัยพื้นฐานดี และสามารถสร้างกำไรเติบโตอย่างสม่ำเสมอ
ในกรณีของนักลงทุนมือใหม่ที่ยังมีประสบการณ์ไม่มาก การเปลี่ยน Factor จัดหุ้นในพอร์ต หากทำไม่สอดคล้องกับสภาวะตลาดอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดี โดยเฉพาะหากต้องการกระจายไปลงทุนต่างประเทศที่เราอาจไม่คุ้นชินนัก ทำให้การลงทุนผ่านกองทุนรวมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ข้อดีของการเลือกใช้กองทุนรวมคือ การเข้าลงทุนได้ทันที และมีกองทุนที่ใช้หลักการ Factor Investing ให้เลือก บล.ไทยพาณิชย์ เชื่อว่ากองทุนหุ้นที่ใช้แนวทาง Factor Investing อย่าง SCBGQUAL กองทุนหุ้น Quality และ SCBGVALUE กองทุนหุ้น Value ที่เน้นการบริหารพอร์ตลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Fund) จะสามารถตอบโจทย์และเป็นทางเลือกที่ดีของนักลงทุน
สำหรับ SCBGQUAL จะเน้นเลือกหุ้นที่มี ETF ที่มีคุณภาพ มีเงินสด เป็นบริษัทขนาดใหญ่และมีกำไร โดยมุ่งสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี MSCI World Sector Neutral Quality Index ซึ่งติดตามหุ้นบริษัทขนาดใหญ่และกลางใน 23 ประเทศของตลาดพัฒนาแล้ว โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- ROE สูง
- หนี้บริษัทที่อยู่ในระดับต่ำ
- มีความผันผวนของกำไรบริษัทที่ไม่สูงมาก
SCBGQUAL จะลงทุนในกองทุนหลักคือ iShares Edge MSCI World Quality Factor UCITS ETF ซึ่งบริหารจัดการโดย BlackRock Asset Management Ireland Limited
ส่วนกองทุน SCBGVALUE เป็นอีกหนึ่งกองทุนที่เหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากหุ้นกลุ่ม Value สามารถทนทานต่อสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นได้ดีกว่าตลาดโดยรวม โดยกองทุน SCBGVALUE เน้นลงทุนให้มีผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี MSCI World Enhanced Value Index
SCBGVALUE จะลงทุนในกองทุนหลักคือ iShares Edge MSCI World Value Factor UCITS ETF (กองทุนหลัก) ชนิดหน่วยลงทุน Share Class USD (ACC) ซึ่งบริหารงานภายใต้ความดูแลของ BlackRock Asset Management Ireland Limited
ปัจจุบันนักลงทุนสามารถลงทุนกับ SCBGQUAL และ SCBGVALUE ได้ผ่านแอปพลิเคชัน SCB Easy โดยเลือกซื้อกองทุนได้ที่เมนู Investment
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
- https://www.scbam.com/medias/campaign/landing-page/SCBGQUAL.html
- https://www.scbam.com/medias/campaign/landing-page/SCBGQVALUE.html
หมายเหตุ:
- เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนทำการลงทุน