ประเด็นสำคัญ
การปฏิรูปกฎหมายด้วยแนวคิด Regulatory Guillotine ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที ถือเป็นอีก Quick Win ที่จะเป็นตัวช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย จะช่วยลดต้นทุนภาคเอกชนได้กว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี
ดร. ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ในรายการ Morning Wealth ระบุว่า การปฏิรูปกฎหมายด้วยแนวคิด Regulatory Guillotine ถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที เพื่อลดภาระและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ภาคธุรกิจ ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจนับแสนล้านบาทต่อปี
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำกว่า 2% ต่อเนื่อง ทำให้ต้องมองหาเครื่องมือใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกเหนือจากการพึ่งพาเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ดูแผ่วลง หนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการเติบโตคือ การมีกฎหมายจำนวนมากเกินไป ซึ่งปัจจุบันมีมากถึงกว่าแสนฉบับ หลายฉบับมีความซ้ำซ้อน ล้าสมัย และบางครั้งขัดแย้งกันเอง ทำให้เกิดความไม่แน่นอน สร้างภาระต้นทุน และลดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
Regulatory Guillotine คืออะไร และทำไมไทยต้องกล้าทำจริง
แนวคิด Regulatory Guillotine มาจากเครื่องมือประหารกิโยตีนในอดีต ซึ่งหมายถึง การตัดกฎหมายที่ซ้ำซ้อน ล้าสมัย อย่างรวดเร็ว ทันที และเด็ดขาด โดยไม่ต้องรอกระบวนการค่อยเป็นค่อยไปทีละเรื่อง ดร. ฐิติมา ชี้ว่า ขณะที่หลายประเทศก่อนเริ่มใช้เครื่องมือนี้มีกฎหมายหลักหมื่นฉบับ แต่ประเทศไทยมีมากถึงหลักแสนฉบับ โดยมีพระราชบัญญัติประมาณ 1,400 ฉบับ และกฎหมายลำดับรอง เช่น กฎกระทรวง ประกาศต่างๆ เป็นแสนฉบับ ยังไม่นับรวมใบอนุญาตกว่า 7,000 ชนิด
โดยความหลากหลายและกระจัดกระจายของกฎหมายเหล่านี้ สร้างปัญหาให้กับธุรกิจในหลายด้าน ได้แก่
- ความซ้ำซ้อน ล้าสมัย และความขัดแย้งกันเอง
- กระบวนการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
- การบังคับใช้และการตีความของแต่ละหน่วยงานที่ไม่เหมือนกัน
- สร้างช่องทางให้เกิดการทุจริต
- เพิ่มต้นทุนและความไม่แน่นอนในการทำธุรกิจ
- กระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน
ความพยายามที่ผ่านมาและบทเรียนจากต่างประเทศ
แม้แนวคิดการลดกฎระเบียบจะมีการพูดถึงมานานเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2560 มีการตั้งคณะกรรมการศึกษา และเคยว่าจ้างที่ปรึกษาทีมเดียวกับที่ประสบความสำเร็จในเกาหลีใต้มาช่วยศึกษา ผลการศึกษาของ TDRI พบว่า หากนำกฎหมายกว่าพันกระบวนการจากหลายกระทรวงมาทบทวน 40% สามารถยกเลิกทิ้งไปได้เลย 15% ยังคงใช้ได้ และที่เหลืออีกเกือบ 50% ต้องปรับปรุงหรือรวมกัน
หากทำได้ตามนี้ จะช่วยลดต้นทุนภาคเอกชนได้กว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 0.8% ของ GDP ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับ GDP ไทยที่ SCB EIC คาดว่าจะโตเพียง 1 8% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากขาดการทำแบบ ‘บิ๊กแบง’ หรือขาดการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งการทำงานที่ผ่านมายังเป็นในลักษณะต่างคนต่างทำเป็นจุดๆ ไม่มี KPI ร่วมกัน และยังขาดการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชนอย่างจริงจัง
เปิดผลลัพธ์ในต่างประเทศมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
- เกาหลีใต้ หลังวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997 ผู้นำตั้งเป้ายกเลิกและปรับปรุงกฎหมาย 50% ภายใน 6 เดือน ซึ่งทำได้จริงจากกฎหมายหลักหมื่นฉบับ
- โครเอเชีย เพื่อเข้าเป็นสมาชิก EU ในช่วงปี 2009-2011 ได้ตั้งเป้ายกเลิกปรับปรุง 30% ของกฎหมายหลายหมื่นฉบับ และทำได้สำเร็จ
- เวียดนาม โครงการ ‘Project 30’ หรือใช้ระยะเวลา 30 เดือน หลังเข้าเป็นสมาชิก WTO ปี 2007 ได้ยกเลิกกระบวนการกว่า 5,700 รายการ 50-60% ซึ่งส่งผลให้ประเทศเติบโต มีประสิทธิภาพ และสามารถดึงดูด FDI ได้สำเร็จในช่วงที่ผ่านมา
ทำไมรัฐบาลชุดใหม่ถึงควรผลักดันเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
ดร. ฐิติมา เน้นย้ำว่าการปฏิรูปกฎหมาย คือ Quick Win และ Low-hanging fruit ที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันที เนื่องจากได้ผลบวกต่อเศรษฐกิจ ดังนี้
- ลด Cost of Doing Business และเพิ่ม GDP ได้ทันที
- บางอย่างไม่ต้องรอแก้กฎหมายระดับสูง สามารถแก้ไขในระดับประกาศ หรือกฎกระทรวงที่อยู่ในอำนาจของกระทรวงได้เลย
- ส่งสัญญาณสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจ เพราะเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ
- มีแรงผลักดันทั้งจากภายในและภายนอก นอกจากปัญหาเศรษฐกิจภายใน ประเทศไทยกำลังเข้าเป็นสมาชิก OECD ซึ่งจะมีการตรวจสอบกฎหมายเพื่อให้เป็นมาตรฐานสากล
- ไม่ใช่เรื่องที่เริ่มจากศูนย์ เรามีการศึกษาและ พ.ร.บ. Regulatory Impact Analysis ที่ให้หน่วยงานทบทวนกฎหมายทุก 5 ปีอยู่แล้ว
กลไกสู่ความสำเร็จ ต้องมีเจ้าภาพที่ชัดเจน และผู้นำที่เด็ดขาด
จากประสบการณ์ของประเทศที่ทำสำเร็จ กลไกสำคัญประกอบด้วย
- Political Will และ Leadership ที่ชัดเจน ผู้นำต้องเข้ามาสั่งการและมีเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น เกาหลีใต้ตั้งเป้า 50% ภายใน 6 เดือน
- หน่วยงานตรงกลางที่มีอำนาจกำกับและติดตาม เพื่อประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ
- เครื่องมือในการติดตามความคืบหน้าและการสื่อสารสาธารณะ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชนและภาคธุรกิจ
- การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
รัฐบาลควรเป็นเจ้าภาพหลัก โดยมีหน่วยงานตรงกลาง เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ปยป.) ที่มีอำนาจชัดเจนในการกำกับ ติดตาม และประสานงาน สิ่งสำคัญคือ ต้องมีผู้นำทั้งจากภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้เสียงสะท้อนจากภาคเอกชนเกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นอุปสรรคได้รับการรับฟัง
นอกจากนี้ การสื่อสารในเรื่องกฎหมายจำเป็นต้องใช้ภาษาทางกฎหมาย (Legal Literacy) ที่ละเอียดและชัดเจน โดยระบุมาตรา วงเล็บ หรือย่อหน้าอย่างเฉพาะเจาะจง ไม่ใช่เพียงแค่บอกว่ากฎหมายไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคเอกชนต่างชาติทำอย่างเป็นระบบเมื่อมาเจรจา การจับมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เริ่มเห็นมากขึ้นในปัจจุบัน ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ควรต่อยอดให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
การปฏิรูปกฎหมายด้วยแนวคิด Regulatory Guillotine จึงเป็นก้าวสำคัญที่ประเทศไทยต้องกล้าเดินหน้าทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน
ภาพ: Chokniti-Studio/Shutterstock