×

SCB EIC เตือนไทย เสี่ยงโดนสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าสวมสิทธิ์เหมือนเวียดนามที่เจอ 40% ที่แยกจากที่เก็บ Reciprocal Tariff

30.07.2025
  • LOADING...
ภาษีสินค้าสวมสิทธิ์

ประเด็นร้อนที่หลายคนเริ่มได้ยินมากขึ้นในช่วงไม่ถึงเดือนที่ผ่านมาคือ ‘ภาษีสวมสิทธิ์’ หรือ Transshipment ซึ่งแตกต่างจาก Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากประเทศคู่ค้า ภาษีสวมสิทธิ์ถูกพูดถึงอย่างมากหลังสหรัฐฯ และเวียดนามบรรลุข้อตกลงทางการค้า โดยสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสวมสิทธิ์จากเวียดนามสูงถึง 40% ซึ่งสูงกว่า Reciprocal Tariff ถึงเท่าตัว

 

ฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ภาษีสวมสิทธิ์คือภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าที่สหรัฐฯ สงสัยว่ามีการ ‘สวมสิทธิ์’ หรือเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า (Transshipment) จากประเทศหนึ่งมายังประเทศผู้ส่งออก ก่อนส่งออกไปยังสหรัฐฯ อีกที

 

ทั้งนี้ แม้เกณฑ์การพิจารณาจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่ EIC ประเมินว่าสหรัฐฯ จะพิจารณาจาก 3 เงื่อนไขหลัก ได้แก่

  1. Import Content สัดส่วนการพึ่งพิงวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ
  2. Regional Value Content มูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นจากประเทศผู้ส่งออกนั้นๆ ว่าเพียงพอหรือไม่
  3. เอกสารพิสูจน์แหล่งกำเนิด เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ใบ Invoice และเอกสารที่ยืนยันการแปรรูปสินค้า

 

โดยภาษีสวมสิทธิ์และ Reciprocal Tariff มีความคล้ายคลึงกันในแง่ที่เป็นต้นทุนสำหรับผู้ประกอบการส่งออกของทุกประเทศ แต่ภาษีสวมสิทธิ์จะมีอัตราการเก็บที่สูงกว่ามาก เนื่องจากสหรัฐฯ มีเป้าหมายเพื่อเป็นเครื่องมือกีดกันการค้าทางอ้อมที่จีนอาจใช้ผ่านประเทศต่างๆ

 

ทำไมเวียดนามถึงโดนก่อน – ไทยเสี่ยงแค่ไหน

 

เวียดนามเป็นประเทศแรกๆ ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้ภาษีสวมสิทธิ์ เนื่องจากเวียดนามและจีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งด้านการค้าและการลงทุน ดังนั้นสหรัฐฯ จึงจับตาเวียดนามในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญของสินค้าจีนและเป็นทางผ่านในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ

 

สำหรับประเทศไทย ความสัมพันธ์กับจีนก็ใกล้ชิดไม่ต่างกับเวียดนาม สะท้อนจาก 3 ปัจจัยหลัก

  1. ด้านการค้า โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจากจีนมาไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องใกล้เคียงกับเวียดนาม แสดงให้เห็นว่าไทยและเวียดนามเป็นสองประเทศหลักในอาเซียนที่จีนใช้เป็นช่องทางระบายสินค้า
  2. ด้านการลงทุน ซึ่งเม็ดเงินลงทุนจากจีนที่เข้ามาขอ BOI ในไทยพุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านบาทสะสมตั้งแต่ปี 2018 แม้จะเป็นเรื่องดีที่ผู้ประกอบการไทยได้เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานจีน แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจมองว่าไทยเป็นฐานการผลิตหรือฐานประกอบสินค้าจากจีน

3 ธุรกิจจีนในไทย มีธุรกิจสัญชาติจีนหลั่งไหลเข้ามาในไทยเกือบ 40,000 แห่ง ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่ภาคการผลิต ทำให้ไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้ภาษีสวมสิทธิ์เช่นเดียวกับเวียดนาม

 

สินค้าไทยกลุ่มไหนต้องจับตาเสี่ยงโดนภาษี ‘สวมสิทธิ์’

 

EIC ประเมินว่าการเก็บภาษีสวมสิทธิ์อาจทำได้ 2 รูปแบบ

  • รายธุรกิจ โดยธุรกิจในภาคการผลิตของไทยกว่า 3,000 แห่งที่ดำเนินกิจการในรูปแบบซื้อมาขายไป นำเข้าสินค้ามาเพื่อขายในประเทศหรือส่งออก มีความเสี่ยงสูง หากสหรัฐฯ ตรวจสอบย้อนหลัง

 

  • รายอุตสาหกรรม โดยมี 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่

– โซลาร์เซลล์ แผงวงจร หรือแผ่นโซลาร์: สหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงอยู่แล้ว

– อะลูมิเนียม

– ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท

– ยางล้อ

 

โดยทั้งสามกลุ่มหลังนี้คาดว่าจะมีการพึ่งพิงวัตถุดิบนำเข้าจากจีนสูง และไทยอาจถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นฐานการผลิตหรือประกอบสินค้าจากจีน

 

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงปานกลาง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เหล็ก และแม่พิมพ์ ที่ต้องจับตาดูขอบเขตการบังคับใช้ภาษีสวมสิทธิ์

ผู้ประกอบการและภาครัฐควรเตรียมรับมืออย่างไร

 

การปรับตัวของผู้ประกอบการจะขึ้นอยู่กับมาตรการเชิงรุกของภาครัฐ ภาคการเงิน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ โดย EIC เสนอมาตรการที่ภาครัฐควรเร่งขับเคลื่อนใน 4 แนวทาง

  1. มาตรการการปกป้อง

– เข้มงวดการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานสินค้านำเข้า เพื่อปกป้องสินค้าท้องถิ่น

– กำหนดโควต้าและราคาขายขั้นต่ำสำหรับสินค้านำเข้า

– ภาคการเงินควรออกสินเชื่อพิเศษเพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี

– สารสนเทศในการจัดเก็บเอกสารและตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าเพื่อพิสูจน์แหล่งกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  1. ปรับปรุงกลไกการคัดกรองและการตรวจสอบเงินลงทุนจากต่างชาติ:

– ตรวจสอบว่ามีการลงทุนจริงและเกิดกิจกรรมการผลิตจริงในประเทศ

– กำหนดสัดส่วน Local Content และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

– ปรับปรุงระบบติดตามโรงงาน เพื่อพิสูจน์ได้ว่าโรงงานมีการผลิตจริง

 

  1. การกระจายตลาดส่งออก:

– ภาครัฐควรเจาะตลาดและเปิดตลาดใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพาจีนและสหรัฐฯ

 

  1. สร้างความพร้อมให้กับห่วงโซ่อุปทานไทยในประเทศ:

– เตรียมอุตสาหกรรมต้นน้ำให้ตอบโจทย์ความต้องการปัจจุบันและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มในกระบวนการผลิตในไทย

 

ฐิตา ทิ้งท้ายว่า ภาษีสวมสิทธิ์เป็นเพียงเครื่องมือทางการค้าของสหรัฐฯ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ถือเป็นบททดสอบสำคัญที่ภาคอุตสาหกรรมไทยจะต้องพิสูจน์ให้ประชาคมโลกเห็นว่าไทยเป็น ‘ผู้ผลิตที่แท้จริง’ ไม่ใช่เพียงทางผ่านของสินค้าจากประเทศอื่น

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising