ประเด็นร้อนที่หลายคนเริ่มได้ยินมากขึ้นในช่วงไม่ถึงเดือนที่ผ่านมาคือ ‘ภาษีสวมสิทธิ์’ หรือ Transshipment ซึ่งแตกต่างจาก Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากประเทศคู่ค้า ภาษีสวมสิทธิ์ถูกพูดถึงอย่างมากหลังสหรัฐฯ และเวียดนามบรรลุข้อตกลงทางการค้า โดยสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสวมสิทธิ์จากเวียดนามสูงถึง 40% ซึ่งสูงกว่า Reciprocal Tariff ถึงเท่าตัว
ฐิตา เภกานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ภาษีสวมสิทธิ์คือภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าที่สหรัฐฯ สงสัยว่ามีการ ‘สวมสิทธิ์’ หรือเปลี่ยนแหล่งกำเนิดสินค้า (Transshipment) จากประเทศหนึ่งมายังประเทศผู้ส่งออก ก่อนส่งออกไปยังสหรัฐฯ อีกที
ทั้งนี้ แม้เกณฑ์การพิจารณาจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่ EIC ประเมินว่าสหรัฐฯ จะพิจารณาจาก 3 เงื่อนไขหลัก ได้แก่
- Import Content สัดส่วนการพึ่งพิงวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ
- Regional Value Content มูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นจากประเทศผู้ส่งออกนั้นๆ ว่าเพียงพอหรือไม่
- เอกสารพิสูจน์แหล่งกำเนิด เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ใบ Invoice และเอกสารที่ยืนยันการแปรรูปสินค้า
โดยภาษีสวมสิทธิ์และ Reciprocal Tariff มีความคล้ายคลึงกันในแง่ที่เป็นต้นทุนสำหรับผู้ประกอบการส่งออกของทุกประเทศ แต่ภาษีสวมสิทธิ์จะมีอัตราการเก็บที่สูงกว่ามาก เนื่องจากสหรัฐฯ มีเป้าหมายเพื่อเป็นเครื่องมือกีดกันการค้าทางอ้อมที่จีนอาจใช้ผ่านประเทศต่างๆ
ทำไมเวียดนามถึงโดนก่อน – ไทยเสี่ยงแค่ไหน
เวียดนามเป็นประเทศแรกๆ ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้ภาษีสวมสิทธิ์ เนื่องจากเวียดนามและจีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งด้านการค้าและการลงทุน ดังนั้นสหรัฐฯ จึงจับตาเวียดนามในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญของสินค้าจีนและเป็นทางผ่านในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
สำหรับประเทศไทย ความสัมพันธ์กับจีนก็ใกล้ชิดไม่ต่างกับเวียดนาม สะท้อนจาก 3 ปัจจัยหลัก
- ด้านการค้า โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจากจีนมาไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องใกล้เคียงกับเวียดนาม แสดงให้เห็นว่าไทยและเวียดนามเป็นสองประเทศหลักในอาเซียนที่จีนใช้เป็นช่องทางระบายสินค้า
- ด้านการลงทุน ซึ่งเม็ดเงินลงทุนจากจีนที่เข้ามาขอ BOI ในไทยพุ่งสูงถึง 1 ล้านล้านบาทสะสมตั้งแต่ปี 2018 แม้จะเป็นเรื่องดีที่ผู้ประกอบการไทยได้เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานจีน แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจมองว่าไทยเป็นฐานการผลิตหรือฐานประกอบสินค้าจากจีน
3 ธุรกิจจีนในไทย มีธุรกิจสัญชาติจีนหลั่งไหลเข้ามาในไทยเกือบ 40,000 แห่ง ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่ภาคการผลิต ทำให้ไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกสหรัฐฯ ใช้ภาษีสวมสิทธิ์เช่นเดียวกับเวียดนาม
สินค้าไทยกลุ่มไหนต้องจับตาเสี่ยงโดนภาษี ‘สวมสิทธิ์’
EIC ประเมินว่าการเก็บภาษีสวมสิทธิ์อาจทำได้ 2 รูปแบบ
- รายธุรกิจ โดยธุรกิจในภาคการผลิตของไทยกว่า 3,000 แห่งที่ดำเนินกิจการในรูปแบบซื้อมาขายไป นำเข้าสินค้ามาเพื่อขายในประเทศหรือส่งออก มีความเสี่ยงสูง หากสหรัฐฯ ตรวจสอบย้อนหลัง
- รายอุตสาหกรรม โดยมี 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่
– โซลาร์เซลล์ แผงวงจร หรือแผ่นโซลาร์: สหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงอยู่แล้ว
– อะลูมิเนียม
– ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท
– ยางล้อ
โดยทั้งสามกลุ่มหลังนี้คาดว่าจะมีการพึ่งพิงวัตถุดิบนำเข้าจากจีนสูง และไทยอาจถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นฐานการผลิตหรือประกอบสินค้าจากจีน
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงปานกลาง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เหล็ก และแม่พิมพ์ ที่ต้องจับตาดูขอบเขตการบังคับใช้ภาษีสวมสิทธิ์
ผู้ประกอบการและภาครัฐควรเตรียมรับมืออย่างไร
การปรับตัวของผู้ประกอบการจะขึ้นอยู่กับมาตรการเชิงรุกของภาครัฐ ภาคการเงิน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ โดย EIC เสนอมาตรการที่ภาครัฐควรเร่งขับเคลื่อนใน 4 แนวทาง
- มาตรการการปกป้อง
– เข้มงวดการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานสินค้านำเข้า เพื่อปกป้องสินค้าท้องถิ่น
– กำหนดโควต้าและราคาขายขั้นต่ำสำหรับสินค้านำเข้า
– ภาคการเงินควรออกสินเชื่อพิเศษเพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี
– สารสนเทศในการจัดเก็บเอกสารและตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าเพื่อพิสูจน์แหล่งกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปรับปรุงกลไกการคัดกรองและการตรวจสอบเงินลงทุนจากต่างชาติ:
– ตรวจสอบว่ามีการลงทุนจริงและเกิดกิจกรรมการผลิตจริงในประเทศ
– กำหนดสัดส่วน Local Content และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
– ปรับปรุงระบบติดตามโรงงาน เพื่อพิสูจน์ได้ว่าโรงงานมีการผลิตจริง
- การกระจายตลาดส่งออก:
– ภาครัฐควรเจาะตลาดและเปิดตลาดใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพาจีนและสหรัฐฯ
- สร้างความพร้อมให้กับห่วงโซ่อุปทานไทยในประเทศ:
– เตรียมอุตสาหกรรมต้นน้ำให้ตอบโจทย์ความต้องการปัจจุบันและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มในกระบวนการผลิตในไทย
ฐิตา ทิ้งท้ายว่า ภาษีสวมสิทธิ์เป็นเพียงเครื่องมือทางการค้าของสหรัฐฯ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ถือเป็นบททดสอบสำคัญที่ภาคอุตสาหกรรมไทยจะต้องพิสูจน์ให้ประชาคมโลกเห็นว่าไทยเป็น ‘ผู้ผลิตที่แท้จริง’ ไม่ใช่เพียงทางผ่านของสินค้าจากประเทศอื่น