การยอมขายหุ้นในสัดส่วนถึง 51% ใน Bitkub Online ให้กับกลุ่มไทยพาณิชย์ ด้วยมูลค่า 1.78 หมื่นล้านบาท ซึ่งเปรียบเสมือนการยอมสูญเสียความเป็นเจ้าของในธุรกิจสตาร์ทอัพที่ก่อร่างสร้างมากับมือของ ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ซีอีโอวัย 31 ปี ถือเป็นดีลที่สร้างความประหลาดใจและน่าสนใจไม่น้อยของคนที่อยู่ในแวดวงคริปโตเคอร์เรนซี
เพราะแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมีการขายหุ้นในธุรกิจ Exchange และ Broker ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลเจ้าอื่นๆ ให้กับผู้เล่นรายใหญ่เกิดขึ้นบ้าง เช่น การเข้าถือหุ้นใน Zipmex ของกรุงศรี ฟินโนเวต และการเข้ามาถือหุ้นบางส่วนใน Bitazza ของ Lightnet Group แต่ก็ไม่เคยเห็นสัดส่วนตัวเลขที่สูงถึง 51%
ล่าสุดรายการ The Secret Sauce ได้เชิญ กานต์นิธิ ทองธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน Merkle Capital และผู้ก่อตั้งเพจ Kim DeFi Daddy และ Bitcoin Addict Thailand มาร่วมพูดคุยและวิเคราะห์ถึงดีลสะเทือนวงการในครั้งนี้ โดยกานต์นิธิได้ให้ความเห็นว่า โดยส่วนตัวก็รู้สึกประหลาดใจกับการยอมขายหุ้น 51% ของ Bitkub เช่นกัน
อย่างไรก็ดี หากมองในแง่ผลประโยชน์ทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต้องถือว่าดีลนี้เป็น Win-Win เนื่องจากไทยพาณิชย์เองมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ และมีเป้าหมายจะเปลี่ยนตัวเองจากธนาคารมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน ขณะที่ Bitkub เองก็เป็น Digital Asset Exchange อันดับ 1 ของไทย ครอบครองฐานผู้ใช้มากกว่า 90% ทำให้ทั้งสองสามารถต่อยอดธุรกิจระหว่างกันได้ไม่ยาก
“ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันไทยพาณิชย์มีฐานลูกค้าอยู่ 16 ล้านราย ถ้าในอนาคตสัก 10% จากจำนวนนี้เกิดอยากเทรดคริปโตเคอร์เรนซี ก็จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและรายได้ค่าธรรมเนียมให้ Bitkub ได้ ขณะที่ไทยพาณิชย์อาจใช้ Bitkub ต่อยอดไปยังธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ นอกจากการเป็น Exchange เปรียบเสมือนเกตเวย์ไปสู่โลก DeFi อื่นๆ” กานต์นิธิกล่าว
อีกหนึ่งปัจจัยที่กานต์นิธิมองว่าทำให้เกิดดีลนี้ขึ้นได้ คือ ที่ผ่านมาเวลา Bitkub พยายามจะทำอะไรใหม่ๆ เช่น Fan Tokens, Meme Tokens และ NFTs ก็มักจะเจออุปสรรคติดขัดเรื่องข้อบังคับและข้อกฎหมายจากหน่วยงานกำกับ ทำให้ Bitkub อาจรู้สึกถึงข้อจำกัดตรงนี้ ดังนั้น การที่มีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาร่วมทุนอาจจะช่วยเพิ่มจุดแข็งในการพูดคุยกับหน่วยงานกำกับ ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มของตัวเองได้มากขึ้น
“เรื่องนี้คงต้องจับตาดูว่าการเข้ามาของ Big Player อย่างไทยพาณิชย์ จะทำให้กำแพงกฎเกณฑ์ต่างๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งเราหวังให้เป็นอย่างนั้น เพราะมันจะช่วยยกระดับระบบนิเวศหรือ Digital Asset Ecosystem ของไทยให้ไปได้ไกลกว่าการเทรดหรือรับซื้อขายอย่างเดียว” กานต์นิธิกล่าว
กานต์นิธิวิเคราะห์อีกว่า แผนการเข้า IPO ของ Bitkub ก็อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการพิจารณาดีลนี้ เนื่องจากการซื้อขายหุ้นในสัดส่วน 51% มีมูลค่าถึง 1.75 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้มูลค่ารวมของ BitKub เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3 หมื่นล้านบาท กลายเป็น Unicorn ตัวที่สองของไทย ซึ่งการมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลดีต่อการทำ IPO ในอนาคต และจะสร้างบรรทัดฐานให้กับ Exchange เจ้าอื่นๆในการระดมทุนระยะข้างหน้า
เมื่อถามถึงผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจากการที่ธุรกิจรายใหญ่สองเจ้ามาจับมือกัน กานต์นิธิกล่าวว่า แน่นอนว่าเรื่องนี้จะยิ่งสร้างความได้เปรียบให้กับ Bitkub ซึ่งเดิมก็ถือว่ามีสัดส่วนยูสเซอร์สูงที่สุดอยู่แล้ว ทำให้ Exchange เจ้าอื่นคงอยู่นิ่งเฉยได้ลำบาก และอาจต้องเริ่มคิดว่าจะเปิดรับให้ Big Player เข้ามาถือหุ้นหรือเป็นพันธมิตรหรือไม่
“ปัจจุบัน Bitkub ยังคิดค่าธรรมเนียมสูงกว่าคู่แข่งเจ้าอื่น ทำให้ในอนาคตยูสเซอร์อาจหันไปใช้บริการเจ้าอื่น การแข่งขันตรงนี้จะเกิดขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้บริโภค” กานต์นิธิกล่าว
กานต์นิธิสรุปว่า ในภาพรวมเชื่อว่าดีลนี้จะช่วยส่งเสริมให้วงการคริปโตเคอร์เรนซีไทยเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และการที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่างไทยพาณิชย์กระโดดลงมาเล่นเองจะทำให้คนกล้าลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีจะแมสขึ้น อย่างไรก็ดี เรื่องนี้จะมาคู่กับความเสี่ยงด้วยเช่นกัน เพราะการที่มีนักลงทุนมือใหม่เข้ามาในวงการมากขึ้น อาจทำให้กลุ่มมิจฉาชีพฉวยโอกาสเข้ามาหลอกลวง ซึ่งการส่งเสริมให้ความรู้แก่นักลงทุนจะเป็นเรื่องจำเป็นมาก
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP