×

SCB CIO มองผลประชุม Fed ‘ลดดอกเบี้ย-หยุด QT’ กระทบเศรษฐกิจ-สินทรัพย์ลงทุนอย่างไร

31.10.2025
  • LOADING...
SCB CIO มองผลประชุม ** Fed** ‘ลดดอกเบี้ย-หยุด ** QT**’ กระทบเศรษฐกิจ-สินทรัพย์ลงทุนอย่างไร

SCB CIO วิเคราะห์ผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC)ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งมีมติลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% และประกาศยุติมาตรการดึงสภาพคล่อง (QT) โดยมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกได้รับผลบวก ดอกเบี้ยโลกเป็นขาลง

 

ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM Head of Investment Consultant, SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ระบุว่า ผลการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา มีนัยยะสำคัญทางนโยบาย 2 เรื่อง แม้จะไม่ผิดจากที่คาดการณ์ แต่ก็มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้

 

  • การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 3.75-4%

 

  • การหยุดทำ QT (Quantitative Tightening) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป Fed จะหยุดการดึงสภาพคล่องออกจากระบบเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้มีการดึงสภาพคล่องออกผ่านการขายพันธบัตรหรือปล่อยให้หมดอายุ เดือนละประมาณ 40,000 ล้านเหรียญ. การหยุด QT นี้จะส่งผลให้เม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจไม่ถูกดูดออกไปและจะวนเวียนอยู่ในระบบ.

 

เปิดเหตุผล Fed เน้นการจ้างงาน เงินเฟ้อระยะยาวคาดกลับสู่เป้าหมาย

 

การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ Fed ให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจยังเติบโตในระดับปานกลางและการบริโภคยังคงโอเค. แต่สิ่งที่ Fed ให้ความสำคัญและกังวลคือ การจ้างงาน ที่เริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน รวมถึงข่าวการปลดพนักงาน.

 

ขณะที่เรื่องของอัตราเงินเฟ้อ แม้ตัวเลขปัจจุบันจะยังสูงกว่าปีที่ผ่านมา แต่ Fed มองว่าการปรับขึ้นดังกล่าวเป็นผลกระทบในระยะสั้นที่มาจากเรื่องของภาษีหรือการกักตุนสินค้า และเชื่อว่าแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะยาว 1-2 ปีข้างหน้า จะกลับไปอยู่ที่ระดับ 2% ตามที่ต้องการได้

 

ชาตรีเน้นย้ำว่า นัยยะสำคัญยังอยู่ที่การที่ Fed ย้ำเรื่อง Dual Mandate คือจะดูทั้งเรื่องการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อควบคู่กันไป

 

สัญญาณไม่แน่นอนเดือนธันวาคมและความกังวล NPL

 

จากท่าทีดังกล่าว ทำให้แนวโน้มที่ Fed จะลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ เริ่มไม่แน่นอน ประเด็นนี้ทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนและมีการแกว่งตัวระหว่างวัน

 

นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่อง NPL (Non-Performing Loan) ที่มีนักข่าวสอบถามนั้น Fed ยอมรับว่าเห็นสัญญาณของการตึงตัวในตลาดการเงินจริง ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่นำไปสู่การหยุดทำ QT แม้จะเห็น NPL เพิ่มขึ้นในตลาดสินเชื่อรายย่อยหรือรถยนต์ แต่ Fed ยังมองว่าในภาพรวมยังไม่ใช่ปัญหาฉับพลัน และเชื่อว่าธนาคารสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับความผันผวนเหล่านี้ได้

 

มองเศรษฐกิจ-การลงทุน ภาพรวมดีขึ้น หุ้นเทคฯ และ AI คือตัวขับเคลื่อน

 

ชาตรีมองว่า การส่งสัญญาณของ Fed นี้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ดังนี้

 

  • เศรษฐกิจโลก การลดดอกเบี้ยเป็นสัญญาณที่ดี เหมือนเป็นการ ลดภาระของผู้กู้ ทั้งภาคครัวเรือนและเอกชนในสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังเป็นการกระตุ้นให้ธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ สามารถลดดอกเบี้ยตามได้ ซึ่งจะทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยทั่วโลกยังคงเป็น ขาลง

 

  • การลงทุนใน AI Infrastructure การลงทุนใน AI ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ และไม่ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย เพราะเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างโอกาสใหม่. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI จึงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกต่อไปได้

 

การเคลื่อนไหวของตลาดทุนและคำแนะนำการลงทุน

 

แม้ว่าตลาดจะมีการ Price In ไปล่วงหน้าแล้ว แต่ผลการประชุมก็ทำให้ตลาดมีการปรับฐานความคาดหวัง

 

สำหรับตลาดหุ้นไม่ได้ตอบรับเชิงบวกมากนักหลังการประกาศ
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดหุ้นโลกยังเป็นบวก จากสภาพคล่องที่สูงขึ้น จากการหยุด QT การลดดอกเบี้ย และการลงทุนที่ต่อเนื่องใน AI

 

กลุ่มที่แนะนำ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี คือ กลุ่ม Global Tech และ Asian Tech ยังคงเป็นบวกและน่าสนใจ

 

ด้านตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) สหรัฐฯ 10 ปี ดีดตัวขึ้นเล็กน้อย จาก 3.9% เป็นประมาณ 4.02-4.03%ซึ่งสะท้อนความไม่แน่นอนของการประชุมของ FOMC ในเดือนธันวาคมปีนี้

 

โดยการปรับขึ้นของ Bond Yield ถือเป็น โอกาสในการเข้าซื้อ มีคำแนะนำควรลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุไม่ยาวมากนัก ประมาณ 3 ถึง 5 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนระยะยาว

 

ในส่วนทองคำราคาทองคำมีการดีดตัวขึ้นเล็กน้อยหลังการประกาศ โดยระยะสั้นอาจมีปัจจัยกดดันจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในเวที APEC หากการเจรจาประสบความสำเร็จ อาจเกิดการเทขายทำกำไรได้

 

ส่วยระยะยาทองคำยังคงเป็นขาขึ้น โดยคำแนะนำ การปรับฐานลงมาในระดับ 3,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ บวกหรือลบ มองเป็นโอกาสในการเข้าสะสมทองคำ

 

ขณะที่ตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะได้รับอานิสงส์และเริ่มมีกระแสเงินลงทุนไหลเข้าเอเชีย โดยปัจจัยบวกภายในคือความหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการเลือกตั้ง เช่น โครงการคนละครึ่ง

 

แม้ที่ผ่านมาเงินลงทุนจะไหลเข้าสู่ตราสารหนี้ไทยมากกว่าตลาดหุ้น แต่เชื่อว่าเมื่อตลาดหุ้นโลกเป็นขาขึ้น เงินก็จะวนเข้าสู่ตลาดไทย ซึ่งถือเป็นตลาดที่อาจจะ Laggard ที่สุด

 

คำแนะนำ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเป็น Sideway Up โดยมีปัจจัยบวกจากเครื่องยนต์ใหม่ ๆ เช่น Data Center, Rare Earth และการเจรจาการค้าที่ช่วยลดภาษีกับสหรัฐฯ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising