SCB 10X คาดได้ใบอนุญาตจัดตั้ง VC ร่วมเครือ CP ในไตรมาส 3 เผยแผนลงทุนในสตาร์ทอัพปีนี้ยังเน้นกลุ่ม Disruptive Technology ที่มีศักยภาพและราคาเหมาะสม มองเกณฑ์ใหม่แบงก์ชาติเป็นเรื่องดีช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุน
มุขยา พานิช Chief Venture and Investment Officer บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) เปิดเผยถึงแผนการลงทุนในเทคคอมพานีและสตาร์ทอัพในปีนี้ว่า บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในด้าน Disruptive Technology ได้แก่ เทคโนโลยีด้านการเงิน (Fintech) โดยเฉพาะบล็อกเชน (Blockchain) ที่เกี่ยวกับด้าน Financial Services รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) Web 3.0 และ Metaverse ขณะเดียวกัน บริษัทยังให้ความสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี DAO หรือ Decentralized Autonomous Organization ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงตามจำนวนโปรเจกต์เกี่ยวกับ DeFi, NFT, Web 3.0 ที่เพิ่มขึ้น
“เป็นที่ทราบกันว่าเราได้งบสำหรับลงทุนในช่วง 3-5 ปี มาประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินตรงนี้ก็ยังมีเหลืออยู่ ยังไม่หมด โดยที่ผ่านมาเราได้เข้าไปลงทุนไปในสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพทั้งในไทยและทั่วโลกแล้ว 48 แห่ง ในจำนวนนี้มี 10 แห่งที่เป็นยูนิคอร์น (มูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์) 11 แห่งเป็นเซ็นทอร์ (มูลค่ามากกว่า 1 ร้อยล้านดอลลาร์) และ 5 แห่งเป็นลิตเติลโพนี่ (มูลค่ามากกว่า 10 ล้านดอลลาร์) ขณะเดียวกัน เรายังมีการลงทุนสร้างผลิตภัณฑ์ภายใต้หน่วยงาน Venture Builder อีกด้วย” มุขยากล่าว
มุยยากล่าวอีกว่า นอกจากแผนข้างต้นแล้ว ในปีนี้นี้บริษัทยังมีแผนจะจัดตั้งกองทุน Venture Capital (VC) ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ขนาด 600-800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 19,800-26,400 ล้านบาท) แยกออกมาอีกหนึ่งกองเพื่อลงทุนใน Disruptive Technology และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั่วโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตภายในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้
อย่างไรก็ดี มุขยายอมรับว่า การเข้าไปลงทุนในสตาร์ทอัพในปีนี้จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้นในแง่ Valuation ของสตาร์ทอัพ เนื่องจากปีที่ผ่านมาถือเป็นปีทองของคริปโตและสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้มี VC ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่เข้ามาลงทุนกันเยอะมากจนผลักให้ Valuation ของสตาร์ทอัพในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
“Series A ในปีนี้ราคาต่างจากปีก่อนค่อนข้างเยอะ ดังนั้นเราเองก็จำเป็นต้องมีวินัยในการลงทุน ถ้าเรามองว่าราคาสูงเกินไปก็ต้อง Walk Away ขณะเดียวกัน ปีนี้เราก็อาจต้องเลือกลงทุนใน Series A มากขึ้นเพราะ Series B และ C อาจแพงเกินไป” มุขยากล่าว
มุขยากล่าวอีกว่า อีกหนึ่งความท้าทายของ SCB 10X ในปีนี้คือการหา Talents หรือแรงงานทักษะสูงเข้ามาเสริมทีม เนื่องจากในช่วงระหว่างปี 2022-2024 นี้จะเป็นช่วงที่บริษัทตั้งเป้าการเติบโตแบบ Exponential ทำให้จำเป็นต้องหาคนจำนวนมากเข้ามาเสริมทีมทั้งในส่วนของ VC ใหม่ที่จะตั้งร่วมกับ CP และส่วนที่เป็น Venture Builder นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนจะ Spin-Off ทีมสร้างสำนักงานใหญ่ใน Metaverse ออกไปตั้งเป็นอีกหนึ่งบริษัทเพื่อรับจ้างทำให้กับธุรกิจที่สนใจ ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องเพิ่มคน
“ตลาด Talents ในไทยตอนนี้แข่งขันสูง หาคนได้ยากเพราะคนเก่งส่วนใหญ่จะไปเป็น Founder เอง หรือไม่ก็ถูกต่างประเทศคว้าตัวไปก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม การที่โลกปัจจุบันสามารถทำงานทางไกลจากที่ไหนก็ได้ในโลก ทำให้บริษัทมีโอกาสจะทำงานกับ Talents ในภูมิภาคหรือที่อื่นๆ ในโลกได้เช่นกัน” มุขยากล่าว
ทั้งนี้ มุขยา ยังกล่าวถึงการเปิดตัวสำนักงานใหญ่ (Headquarters) ของ SCB 10X ใน The Sandbox แพลตฟอร์มโลก Metaverse ชื่อดัง เมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา ว่าบริษัทได้ออกแบบและพัฒนาให้สำนักงานใหญ่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สำหรับสร้างรากฐานระบบนิเวศและคอมมูนิตี้ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน (Community-Driven) บนโลก Metaverse รวมถึงมุ่งสนับสนุน ส่งเสริม และผลักดันความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินชาวไทยสู่ตลาดโลก
นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่สำหรับเชื่อมผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมบนโลกเสมือนจริง พร้อมต่อยอดและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยกับอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ตามจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด โดยแบ่งประโยชน์การใช้สอย 3 ด้านหลัก ได้แก่
- Virtual Hub พื้นที่แบ่งปันความรู้ (Event & Knowledge Sharing) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและการมีส่วนร่วม
- Virtual Land พื้นที่สำหรับพันธมิตรทางธุรกิจในการทำกิจกรรมร่วมกันและพัฒนาต่อยอดโครงการอื่นๆ ในอนาคต
- พื้นที่แสดงผลงานและคอนเสิร์ตที่มุ่งสนับสนุนและผลักดันศิลปินชาวไทยสู่ตลาดโลกในรูปแบบต่างๆ เช่น NFT Gallery
“แนวคิดการออกแบบสำนักงานใหญ่บนโลกเสมือนจริงของ SCB 10X ได้สะท้อนภาพความเป็นไทยสู่เวทีสากลและโลกดิจิทัลที่ไร้พรมแดน ผ่านสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งจำลองภาพความเป็นไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยแบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ ‘อดีต’ รากฐานอันงดงามของอนาคต ‘ปัจจุบัน’ ประตูสู่เชื่อมเครือข่ายพันธมิตรที่ไม่รู้จบ และ ‘อนาคต’ การเติบโตอันก้าวกระโดดแห่งอนาคต ซึ่งในแต่ละโซนถูกจัดสรรให้มีประโยชน์ใช้สอยแตกต่างกัน” มุขยากล่าว
มุขยากล่าวอีกว่า SCB 10X นับเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินแห่งแรกในโลกที่ริเริ่มพัฒนาสำนักงานใหญ่บนโลกเสมือนจริงใน The Sandbox โดยอยู่ภายใต้การหารือร่วมกับหน่วยงานกำกับทางการอย่างใกล้ชิด และคาดว่าจะพร้อมให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าเยี่ยมชมอย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 4 ปี 2565 นี้
นอกจากนี้ มุขยายังให้ความเห็นถึงกรณีที่ ธปท. มีการปรับแนวทางดูแลกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยยกเลิกข้อจำกัดการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) พร้อมเปิดให้ลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้ภายใต้เพดานที่ 3% ของเงินกองทุน รวมถึงเปิดให้ทดลองธุรกิจที่มีความเสี่ยงใน Sandbox ว่าการเปิดกว้างดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล อาจมีความจำเป็นที่จะต้องถือโทเคนบ้าง
“เรายินดีที่จะเข้าไปอยู่ใน Sandbox ของ ธปท. และคาดหวังว่าในอนาคตเมื่อหน่วยงานกำกับเห็นแล้วว่าความเสี่ยงถูกควบคุมหรือจำกัดได้ การเปิดกว้างจะมีมากยิ่งขึ้น” มุขยากล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP