วันนี้ (10 กรกฎาคม) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ภายหลังศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 10 คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หมายเลขดำ อ.310/2556 ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
สวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของ สุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวว่า การตัดสินของศาลในวันนี้ถือเป็นการสิ้นสุดการรอคอยร่วม 2 ปี โดยส่วนตัวไม่ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา ถือว่าเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าที่ผ่านมาศาลฎีกาจะนัดมาฟังคำพิพากษาตั้งแต่ปี 2563 แต่ก็พบว่าธาริตพยายามประวิงเวลามาโดยตลอด จนกระทั่งมาถึงวันนี้ยังยื่นคำร้องอีกหลายฉบับทำให้การอ่านคำพิพากษาล่าช้าออกไป จากที่จะต้องอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จตั้งแต่ช่วงเช้า ซึ่งจะเห็นว่าคำร้องทุกคำร้องนั้นศาลได้ยกทั้งหมด แต่ศาลก็ต้องอ่านคำชี้แจงถึงการพิจารณาคำร้องเพื่อให้ธาริตและทนายความได้เข้าใจ
ส่วนประเด็นที่ศาลให้คำพิพากษาออกมาในลักษณะแบบนี้ เพราะศาลเห็นว่าธาริตพยายามชี้นำพนักงานสอบสวน เนื่องจากตรวจสอบพบว่าการทำสำนวนในครั้งแรก ธาริตพยายามชี้นำพนักงานสอบสวนว่ากลุ่มผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงและมีอาวุธ เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลกลับเปลี่ยนสำนวนไปดำเนินคดีกับอภิสิทธิ์และสุเทพ ซึ่งอยู่ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ว่ามีคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธและความรุนแรงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลเห็นว่ามีเจตนากลั่นแกล้ง ส่วนจำเลยที่ 2-4 ศาลยกฟ้อง เพราะมองว่าอาจมีส่วนร่วมกระทำความผิดเนื่องจากถูกผู้บังคับบัญชาชี้นำ จึงยกประโยชน์ให้กับจำเลยทั้ง 3 คน
สวัสดิ์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาไม่เคยออกมาตอบโต้ตั้งแต่กระบวนการในขั้นแรกที่ศาลขั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับมาให้ลงโทษจำเลยทั้งหมดจำคุก 2 ปี จนกระทั่งศาลฎีกามีคำพิพากษาสั่งให้ลงโทษธาริตคนเดียว จำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา ซึ่งตนเองก็เคารพกระบวนการยุติธรรม เพราะหากไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมก็จะทำให้บ้านเมืองเสียหาย ซึ่งดำเนินคดีดังกล่าวมาครบทุกศาลแล้ว ถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว