วันนี้ (15 พฤศจิกายน) ที่ สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจ ได้เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ ผู้กำกับการ (ผกก.) สน. ทองหล่อ และรองผู้กำกับการฝ่ายปราบปราม ในข้อหา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยนำหลักฐานบันทึกประจำวันการแจ้งความลงวันที่ 7 สิงหาคม 2568 และรูปภาพของสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในพื้นที่มามอบให้
สันธนะ เปิดเผยว่า การแจ้งความครั้งนี้เป็นการเอาคืนก่อน สืบเนื่องจากเรื่องที่ตนเคยแจ้งความไว้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 หลังได้รับร้องเรียนจากประชาชนว่าได้รับความเดือดร้อนจากสถานบันเทิงแห่งหนึ่งบริเวณระหว่างซอยเอกมัย 5 และซอยเอกมัย 7 ซึ่งอยู่ในพื้นที่ สน.ทองหล่อ เปิดให้บริการเกินเวลาจนถึงเวลาตีสี่
สันธนะ ระบุว่า ตนได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว แต่ต้องการให้ตำรวจ สน.ทองหล่อ เป็นผู้ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าสถานบันเทิงดังกล่าวอยู่ในโซนนิ่งที่ได้รับอนุญาตให้เปิดเกินเวลาหรือไม่
สันธนะ อ้างว่า ผู้กำกับ สน.ทองหล่อ ได้พยายามนัดแนะให้ตนไปพูดคุยกับบุคคลซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าของร้านที่ตนร้องเรียน ซึ่งพยายามจะเสนอผลประโยชน์ให้เพื่อระงับการร้องเรียน แต่ตนปฏิเสธทันที และกล่าวว่าหากรับไว้คงจะโดนยัดข้อหา กรรโชกทรัพย์
พร้อมตั้งคำถามว่า การกระทำดังกล่าวของตำรวจท้องที่มีการ เรียกรับผลประโยชน์รายเดือน จากสถานบันเทิงแห่งนั้นหรือไม่ พร้อมระบุว่าจากการตรวจสอบล่าสุดเมื่อคืนนี้ สถานบันเทิงดังกล่าวก็ยังคงเปิดเกินเวลาอยู่
สันธนะ ระบุว่า การที่ตนมาแจ้งความวันนี้ เป็นเพราะเห็นว่า ผกก. และรอง ผกก. มีเจตนาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และเตรียมนำเอกสารหลักฐานการแจ้งความ รวมถึง รายละเอียดการส่งส่วยของสถานบันเทิงต่าง ๆ ให้กับตำรวจท้องที่และตำรวจทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปยื่นต่อ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เพื่อดำเนินการลงโทษทางปกครองและกฎหมาย
สันธนะอ้างว่า การส่งส่วยส่วนใหญ่เป็นรายเดือน โดยตำรวจท้องที่จะได้รับมากที่สุดเป็นหลักแสนบาท และมีชื่อของ สำนักงาน ผบช.น. อยู่ในรายละเอียดด้วย หาก ผบช.น. ไม่ดำเนินการ จะถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน พร้อมระบุว่าหากมีการดำเนินการ อาจทำให้ตำแหน่ง ผกก. สน. ทองหล่อ รวมถึงตำแหน่งอื่น ๆ ว่างลงในการแต่งตั้งรอบถัดไป
เมื่อถามย้ำว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันเช่นนี้ สังคมตั้งคำถามว่าเป็นการ เอาคืนแก้แค้น หรือไม่ สันธนะยอมรับว่า ในใจต้องการอยู่แล้ว แต่ย้ำว่าเรื่องการร้องเรียนสถานบันเทิงนี้ ตนได้แจ้งความไว้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งเป็น ก่อน ที่จะเกิดเรื่องราวกับตนเอง และยืนยันว่าไม่ได้ทำเพื่อกลั่นแกล้งเหมือนที่เขายัดเยียดกลั่นแกล้งและยัดข้อหาให้ตนเอง
นอกจากนี้ สันธนะ ยังได้ตั้งคำถามถึงการจับกุมตนในวันที่ 13 พฤศจิกายน ว่าหมายจับนั้นมีมาตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนแล้ว แต่ตำรวจไม่ยอมจับกุม เพราะต้องการรอให้นายตำรวจยศ พล.ต.อ. กลับมา ก่อนที่จะมีการติดต่อผ่านนักธุรกิจให้ตนไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนายตำรวจ พล.ต.อ. รายนั้น แต่ตนไม่คุย ก่อนจะถูกจับกุมในที่สุด
ทั้งนี้ ก่อนเดินทางกลับ สันธนะได้ยกมือไหว้ต่อหน้าศาลพระภูมิที่ สน.ทองหล่อ เพื่อกล่าวอธิษฐานว่าหากไม่มีตำรวจใน บช.น. รับส่วย ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น


