คณะกรรมการกำกับดูแลซานฟรานซิสโก (San Francisco Board of Supervisors) มีมติเห็นชอบตรงกันด้วยการลงคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 (ในขั้นแรก) เพื่อให้ซานฟรานซิสโกกลายเป็นเมืองแรกในสหรัฐฯ ที่สั่งห้ามมิให้ตำรวจและหน่วยงานรัฐใช้เทคโนโลยีการตรวจจับใบหน้า (Facial Recognition Technology) ในการเฝ้าระวังความปลอดภัย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้คณะกรรมการกำกับดูแลด้านกฎหมายของซานฟรานซิสโกจำเป็นต้องผ่านมาตรการนี้ออกมา เนื่องจากมองว่าเทคโนโลยีการจดจำใบหน้ายังมีข้อบกพร่องในแง่การใช้งาน (อคติในการแยกแยะและวิเคราะห์ข้อมูลของ AI ที่มีต่อความหลากหลายทางชาติพันธ์ุและสีผิว) รวมถึงยังลดทอนสิทธิเสรีภาพความเป็นส่วนตัวของพลเมืองในเมือง
อาร์รอน เพสกิน ผู้สนับสนุนการผ่านร่างกฎหมาย และหนึ่งในคณะกรรมการกำกับดูแลซานฟรานซิสโก เปิดเผยว่า พลเมืองของซานฟรานซิสโกสามารถได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยและมีนโยบายที่ดีได้โดยไม่จำเป็นว่ารัฐจะต้องรับรองสถานะดังกล่าว แต่ให้ใช้วิธีการให้ข้อมูลที่ดีกับชุมชนแทน ไม่ใช่การพึ่งพาเทคโนโลยีของรัฐบาลมาเฝ้าระวังตลอดเวลา
ด้าน แมตต์ เคเกิล นักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและสิทธิเสรีภาพประจำสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน ACLU เคยให้สัมภาษณ์ในทำนองเห็นด้วยกับ The Guardian ในช่วงที่มีการนำเสนอการผ่านมติประเด็นดังกล่าวตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยแบบนี้จะเป็นผลเสียเชิงลบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่า โดยเฉพาะกับกลุ่มพลเมืองที่มีความหลากหลายทางชาติพันธ์ุ
“เทคโนโลยีการตรวจจับใบหน้าไม่ได้ทำให้เราปลอดภัยขึ้นหรอกนะ แต่มันจะทำให้เรามีสิทธิเสรีภาพและอิสระน้อยลงต่างหาก”
ทั้งนี้การลงมติของคณะกรรมการกำกับดูแลซานฟรานซิสโก เมื่อวันอังคารที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ยังขาดคะแนนเสียงจากสมาชิกกรรมการอีก 2 รายที่ไม่ได้เดินทางมาร่วมองค์ประชุมด้วย แต่เชื่อกันว่าการโหวตผ่านร่างมติในครั้งต่อไปในสัปดาห์หน้า ผลการลงคะแนนเสียงก็ไม่น่าจะแตกต่างไปจากเดิม
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: