นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ถนนสามเสนบริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาลทรุดตัว เป็นหลุมยุบขนาดใหญ่เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ได้กลายเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องอาศัยการบูรณาการและเทคนิคเชิงวิศวกรรมขั้นสูงตลอด 7 วันแรกของการฟื้นฟู
กรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อหยุดการเคลื่อนตัวของดินและเร่งคืนพื้นที่จราจรให้ได้ตามกำหนดเป้าหมาย
THE STANDARD สรุปไทม์ไลน์ความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรค และความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในช่วง 7 วันแรกของการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้
วันที่ 1 (24 กันยายน) การตอบสนองฉุกเฉินและประกาศอพยพ
ในวันแรกหลังเกิดเหตุ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้เปิดเผยผลการประชุมศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ โดยเน้นย้ำถึงการจัดการปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน เป้าหมายหลักคือการหยุดการไหลของดินสู่ช่องว่างใต้ดิน โดยมีการตัดสินใจใช้ กระสอบทรายถึง 50,000 ลูก (500 ลบ.ม.) เพื่ออุดช่องว่างใต้ดินเป็นการชั่วคราว ซึ่งถือเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ฉุกเฉินและไม่กระทบต่อการใช้อุโมงค์ในอนาคต
- ปัญหาอุปสรรค: การอุดช่องว่างยังไม่สมบูรณ์ 100% เนื่องจากมี โครงสร้างเหล็กของการไฟฟ้าพังลงมาขวางทาง จำเป็นต้องมีการหารือร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อจัดการต่อไป
- มาตรการสำคัญ: จุดที่น่ากังวลที่สุดคือพื้นที่ใต้ สถานีตำรวจนครบาลสามเสน เนื่องจากเสาเข็มอาคารเสียหายและเสี่ยงพังถล่ม กทม. จึงต้องสั่ง อพยพเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 50 นาย และประชาชนในห้องแถวกว่า 20 ครัวเรือน ออกจากพื้นที่ทันที นอกจากนี้ยังมีการสั่ง งดรับผู้ป่วยนอก (OPD) ที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาลเป็นเวลา 1-2 วัน เพื่อลดความแออัดของการจราจร
วันที่ 24 กันยายน 2568
วันที่ 2 (25 กันยายน) ประกาศภัยพิบัติและเริ่มเทคอนกรีต
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้ประกาศให้พื้นที่เกิดเหตุเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยในพื้นที่เขตดุสิต เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งบประมาณและการสนับสนุนอุปกรณ์ การดำเนินการเปลี่ยนจากกระสอบทรายสู่การแก้ไขถาวรมากขึ้น
- ความคืบหน้าเชิงเทคนิค: เริ่มดำเนินการ เทคอนกรีต ลงไปอุดรูอุโมงค์ โดยเป็นคอนกรีตกำลังอัดไม่มากเพื่อป้องกันในระยะแรกและง่ายต่อการรื้อถอนในภายหลัง จากที่คาดว่าจะใช้คอนกรีต 500 คิวบิกเมตร ได้มีการเทไปแล้ว 350 คิวบิกเมตร โดยมีเป้าหมายคือการเทวัสดุอื่น ๆ เช่น หินคลุก และบดอัดขึ้นมาเพื่อคืนผิวจราจรโดยเร็วที่สุด
- การจัดการน้ำ: มีการใช้มาตรการเชิงเทคนิคในการ บล็อกหัวท้ายท่อระบายน้ำ 4 จุด เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำฝนไหลเข้ามาในหลุมยุบ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
วันที่ 25 กันยายน 2568
วันที่ 3-4 (26-27 กันยายน) การสนับสนุนจากรัฐบาลและการฉีดสเปรย์คอนกรีต
- การแก้ไขปัญหาเริ่มเดินหน้าอย่างเป็นระบบมากขึ้น โดย กทม. ได้สนับสนุนอุปกรณ์และปั๊มน้ำเพิ่มเติม เพื่อเร่งระบายน้ำภายใต้การกำกับดูแลของ รฟม. และผู้เชี่ยวชาญ
- ความมั่นคงของงาน: มีการเทคอนกรีตลงไปอย่างต่อเนื่องปริมาณรวม 1,105 คิว เพื่อปิดช่องเปิดสู่สถานี นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำไฟฟ้ากำลังสูบ 0.25 ลบ.ม./วินาที
- เทคนิคพิเศษ: เริ่มใช้เทคนิค สเปรย์คอนกรีต (Shotcrete) ซึ่งเป็นทรายผสมซีเมนต์ฉีดพ่นลงไปใต้สถานีตำรวจสามเสน เพื่อเสริมความมั่นคงแข็งแรง โดยมีกำหนดจะให้เสร็จในวันที่ 8 ตุลาคม
- บทบาทรัฐบาล: อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าด้วยตนเองในคืนวันที่ 26 กันยายน และผู้ว่าฯ ชัชชาติได้กล่าวขอบคุณสำหรับการลงพื้นที่หลายครั้ง ซึ่งสร้างขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่และเป็นบทเรียนในการตรวจสอบการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ
วันที่ 26 กันยายน 2568
วันที่ 27 กันยายน 2568
วันที่ 5-7 (28 กันยายน- 1 ตุลาคม) การเก็บซากวัสดุและการถมทรายซีเมนต์ครั้งใหญ่
- ปัญหาอุปสรรคใหม่: วันที่ 30 กันยายน มีการปรับแผนเล็กน้อย เนื่องจากตรวจสอบพบ โพรงใต้ปูนที่เทลงไป จึงต้องหยุดการถมทรายและทำการ ฉีดคอนกรีต 65 คิว เข้าไปอุดโพรงก่อน ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
- การเตรียมถมกลับ: ได้มีการเร่ง เก็บซากวัสดุ อาทิ เสาไฟฟ้า หม้อแปลงไฟ สายไฟ ที่ตกค้างในหลุม คาดว่าจะแล้วเสร็จตามกำหนด
- ภารกิจใหญ่: เริ่มต้นการ ถมทรายผสมซีเมนต์ (backfill) โดยมีเป้าหมายใช้ทรายรวม 8,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะต้องใช้รถบรรทุกกว่า 1,000 เที่ยว ผู้ว่าฯ ชัชชาติจึงต้องขอความร่วมมือประชาชนให้ หลีกเลี่ยงเส้นทาง และให้ผู้ที่จะมาโรงพยาบาลวชิรพยาบาลใช้รถสาธารณะ เนื่องจากจะมีการนำรถบรรทุกขนาดใหญ่เข้ามาในพื้นที่จำนวนมาก
- ความมั่นใจ: รฟม. และ กทม. ยังคงตั้งเป้าหมายที่จะ เปิดการจราจรได้ภายในวันที่ 8 ตุลาคม หากไม่มีปัญหาอุปสรรคสำคัญ โดย ณ วันที่ 1 ตุลาคม ได้มีการถมทรายไปแล้วประมาณ 1,300 ลูกบาศก์เมตร
วันที่ 28 กันยายน 2568
วันที่ 29 กันยายน 2568
วันที่ 30 กันยายน 2568
วันที่ 1 ตุลาคม 2568
ตลอด 7 วันที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาหลุมยุบถนนสามเสนเป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นระบบภายใต้การกำกับดูแลของ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่ แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายทางเทคนิค เช่น โครงสร้างใต้ดินที่พังลงมา และการอุดโพรงใต้คอนกรีต การจัดการความเสี่ยงจากน้ำฝนก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
นอกจากความคืบหน้าทางวิศวกรรมแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง กทม., รฟม., และรัฐบาล รวมถึงความเอาใจใส่ต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการสั่งอพยพ สน.สามเสน และการประสานงานให้ รพ.วชิรพยาบาลกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ
ขณะนี้การถมทรายเพื่อคืนผิวจราจรเป็นหัวใจสำคัญของภารกิจต่อไป ทุกสายตาจึงจับจ้องไปยังเส้นตาย วันที่ 8 ตุลาคม 2568 ว่าจะสามารถคืนเส้นทางสัญจรที่สำคัญนี้ให้แก่ประชาชนได้สำเร็จตามแผนที่วางไว้หรือไม่