สิงห์ เอสเตท ส่ง บริษัท เอส. ไอเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าลงทุนซื้อหุ้น 30% ใน ‘บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 และ บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3’ รวมมูลค่า 789 ล้านบาท ต่อยอดธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
บมจ.สิงห์ เอสเตท หรือ S แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัท เอส. ไอเอฟ. จำกัด (S.IF.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยถือหุ้น 99.99% ได้เข้าทำธุรกรรมซื้อหุ้นสามัญในบริษัทที่ประกอบนิคมอุตสาหกรรมและบริษัทที่ประกอบธุรกิจพลังงานไฟฟ้า โดยเข้าซื้อและรับโอนหุ้นสามัญทั้งหมด 100% ของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี (PIC) จากบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ ทำให้ PIC มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม
และได้เข้าซื้อและรับโอนหุ้นสามัญ 30% ของ บริษัท บี.กริม.เพาเวอร์ (อ่างทอง) 1 เดิมชื่อบริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ (BGPAT1) จาก Whitefords United Pte. Ltd. ซึ่งทำให้ BGPAT1 มีสถานะเป็นบริษัทร่วมของบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักในการพัฒนาโรงไฟฟ้า รวมถึงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานความร้อนและไอน้ำ
การเข้าซื้อสิทธิ์ในการจองซื้อหุ้นสามัญ (Option) ด้วยราคาจองซื้อที่มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 30% ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 จำกัด (เดิมชื่อบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด) (BGPAT2) และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3 จำกัด (เดิมชื่อบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด)) (BGPAT3) ตามลำดับ จาก Prime Harvestment Ltd. ซึ่ง S.IF. ได้ใช้สิทธิ์จองซื้อหุ้นสามัญของ BGPAT2 และ BGPAT3 ในสัดส่วน 30% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงทำให้ BGPAT2 และ BGPAT3 มีสถานะเป็นบริษัทร่วมของบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักในการพัฒนาโรงไฟฟ้า รวมถึงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมและไอน้ำ
ด้าน ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ หรือ BGRIM เปิดเผยว่า บริษัท เอส. ไอเอฟ. จำกัด (S.IF.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท สิงห์ เอสเตท (S) ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 จำกัด (BGPAT2) และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3 จำกัด (BGPAT3) ซึ่งทั้ง BGPAT2 และ BGPAT3 เป็นบริษัทย่อยของ BGRIM ในสัดส่วน 30% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ BGPAT2 และ BGPAT3 ในแต่ละบริษัท โดยได้จดทะเบียนเพิ่มทุนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเรียบร้อยแล้ว
BGPAT2 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 10 ล้านบาท เป็น 1,327.50 ล้านบาท โดยการออกหุ้นใหม่เป็นหุ้นสามัญจำนวน 13,175,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ราคาจองซื้อหุ้นละ 100 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,317.50 ล้านบาท ในการนี้ S.IF. ได้ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 3,982,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 398.25 ล้านบาท
ส่วน BGPAT3 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 10 ล้านบาท เป็น 1,302.50 ล้านบาท โดยการออกหุ้นใหม่เป็นหุ้นสามัญจำนวน 12,925,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ราคาจองซื้อหุ้นละ 100 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,292,500,000 บาท ในการนี้ S.IF. ได้ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 3,907,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 390.75 ล้านบาท
การเข้าทำธุรกรรมดังกล่าวเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ BGRIM เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 ดังนั้น BGPAT2 และ BGPAT3 ยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ บี.กริม เพาเวอร์ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจของ BGPAT2 และ BGPAT3 แต่อย่างใด โดย BGPAT2 และ BGPAT3 แต่ละบริษัทมีธุรกิจหลักคือ การพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมโคเจเนอเรชัน (Combined Cycle Cogeneration Plants) กำลังการผลิต 140 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ดวัลเลย์ ไทยแลนด์ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำ โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการละ 90 เมกะวัตต์กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นระยะเวลา 25 ปี และมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (Scheduled Commercial Operation Date) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566
ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ เล็งเห็นถึงความสำคัญในการมีหุ้นส่วนทางธุรกิจร่วมกับเจ้าของนิคมอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมการขยายฐานลูกค้าได้อย่างมั่นคง รวมถึงมีความคล่องตัวในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าและติดตั้งสายส่งในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ ซึ่งจะมีการพัฒนาเป็นเมืองนวัตกรรมอาหารที่ครบวงจร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอาหารที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยได้มาตรฐานระดับสากล โดยในบริเวณดังกล่าวมีโครงการโรงไฟฟ้าของ บี.กริม เพาเวอร์ ตั้งอยู่ทั้งสิ้น 3 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 1 จำกัด โครงการโรงไฟฟ้า BGPAT2 และโครงการโรงไฟฟ้า BGPAT3 คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวมที่ 403 เมกะวัตต์