การยื่นคำขาดของรัสเซียให้ทหารยูเครนในเมืองมาริอูโปลยอมจำนน ไม่ได้รับการตอบสนองจนกระทั่งเลยกำหนดเส้นตายในช่วงบ่ายวันพุธ ขณะที่องค์การสหประชาชาติเปิดเผยว่า จำนวนผู้ลี้ภัยที่อพยพหนีการสู้รบตั้งแต่รัสเซียเริ่มบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์นั้น ล่าสุดทะลุ 5 ล้านคนแล้ว ซึ่งมากกว่าครึ่งเป็นเด็ก
ก่อนเวลา 14.00 น. ของวันพุธ ตามเวลาท้องถิ่น (18.00 น. ตามเวลาไทย) ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่รัสเซียขีดไว้ให้มาริอูโปลยอมแพ้และวางอาวุธ กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่รัสเซียหนุนหลังเปิดเผยว่า มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่ยอมจำนน หลังจากที่เมื่อวันอังคาร รัสเซียได้ออกมาเปิดเผยว่ายังไม่มีใครตอบสนองต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ยูเครนเปิดเผยว่า กองกำลังยูเครนสามารถหยุดยั้งการโจมตีของทหารรัสเซียหลายพันนายที่พยายามจะเดินหน้าในสิ่งที่เจ้าหน้าที่ยูเครนเรียกว่า “ยุทธการดอนบาส” ซึ่งเป็นปฏิบัติการครั้งใหม่ของรัสเซียที่มีเป้าหมายเพื่อยึดครองสองแคว้นทางตะวันออกที่มอสโกอ้างสิทธิ์ในนามของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
อย่างไรก็ตาม แม้มาริอูโปลยังไม่ยอมจำนน แต่ผู้บัญชาการของหน่วยทหารที่เชื่อว่าเป็นหน่วยท้ายๆ ที่ยังคงยึดโยงอยู่ในเมืองท่าที่ถูกปิดล้อมแห่งนี้ ได้ออกมาวิงวอนขอความช่วยเหลือจากนานาประเทศ ระบุทหารในหน่วยของเขาสามารถอยู่รอดต่อไปได้เพียงไม่กี่วัน หรืออาจไม่ถึงวัน
พล.ต. เซอร์ไฮย์ โวลนีย์ ผู้บัญชาการกองพลนาวิกโยธินที่ 36 ของยูเครน ออกโรงขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ ผ่านทางคลิปวิดีโอที่อัปโหลดขึ้น Facebook
“นี่คือคำวิงวอนของเราต่อโลก มันอาจจะเป็นคำวิงวอนครั้งสุดท้ายของเรา เราอาจเหลือเวลาอีกไม่กี่วันหรือไม่กี่ชั่วโมง” โวลนีย์กล่าว “หน่วยทหารของศัตรูมีขนาดใหญ่กว่าของเราหลายสิบเท่า พวกเขาเหนือกว่าทั้งทางอากาศ ปืนใหญ่ กองกำลังภาคพื้นดิน ยุทโธปกรณ์ และรถถัง”
โวลนีย์ยืนกล่าวต่อหน้ากำแพงอิฐสีขาวในห้องที่แว่วเสียงเหมือนมีคนเบียดเสียดกันอยู่ อย่างไรก็ดี สำนักข่าว Reuters ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าวิดีโอดังกล่าวถูกบันทึกที่ใด เมื่อใด หรือมีใครอยู่ที่นั่นบ้าง
ทั้งนี้ ตลอด 8 สัปดาห์ของการรุกราน รัสเซียประสบความล้มเหลวในการยึดเมืองใหญ่ๆ ของยูเครน ซึ่งรวมถึงเคียฟที่เป็นเมืองหลวง อย่างไรก็ดี หลังจากถูกบีบให้ต้องถอยทัพจากทางเหนือของยูเครนเมื่อสัปดาห์ท่ีแล้ว มอสโกได้เปลี่ยนแผนหันมามุ่งโจมตีทางตะวันออกในสัปดาห์นี้
ท่ามกลางซากปรักหักพังของมาริอูโปล ซึ่งเป็นเมืองที่เผชิญกับการสู้รบหนักหน่วงที่สุด และวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุด รัสเซียได้โจมตีโรงงานเหล็กอาซอฟสตัล ซึ่งเป็นที่มั่นหลักสุดท้ายของยูเครนในเมืองนี้ ด้วยระเบิด Bunker-Buster ที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง สามารถเจาะทะลวงลงไปทำลายยังใต้พื้นดิน หรือใต้อุโมงค์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ยูเครนเปิดเผยว่า มีผู้หญิงและเด็กติดอยู่ในหลุมหลบภัยใต้โรงงาน
รัสเซียพยายามบุกยึดมาริอูโปลตั้งแต่ช่วงวันแรกๆ ของสงคราม เพราะหากทำสำเร็จ จะเป็นการเปิดทางให้รัสเซียสามารถเชื่อมอาณาเขตทางตะวันออกของยูเครนที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนยึดครองอยู่ เข้ากับภูมิภาคไครเมียที่มอสโกผนวกเข้าเมื่อปี 2014 ได้
ยูเครนประกาศแผนส่งรถบัส 90 คันเข้าไปอพยพพลเรือน 6,000 คนออกจากเมืองมาริอูโปล หลังบรรลุ ‘ข้อตกลงเบื้องต้น’ กับรัสเซียเกี่ยวกับเส้นทางอพยพที่ปลอดภัย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ หลังจากที่ข้อตกลงก่อนหน้านี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า เนื่องจากมอสโกกีดขวางขบวนรถทั้งหมด
มาริอูโปล เคยเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นบ้านของประชากร 400,000 คน แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นเมืองที่รกร้างว่างเปล่า มีซากศพนอนเกลื่อนอยู่ตามถนน และผู้อยู่อาศัยต้องหลบซ่อนอยู่ในห้องใต้ดิน ขณะที่เจ้าหน้าที่ยูเครนระบุว่า มีพลเรือนหลายหมื่นคนเสียชีวิตในมาริอูโปล
ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติแสดงให้เห็นว่า ณ วันพุธที่ 20 เมษายน มีผู้คน 5.03 ล้านคนหนีภัยสงครามออกจากยูเครน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขดังกล่าวเกิน 5 ล้าน
“พวกเขาจำต้องละทิ้งบ้านและครอบครัวไว้เบื้องหลัง” ฟิลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ทวีตข้อความ “…ทุกครั้งที่มีการโจมตี ความหวังของพวกเขาพังทลายลงตามไปด้วย การยุติสงครามเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเขากลับมาสร้างชีวิตใหม่ได้”
ภาพ: Leon Klein / Anadolu Agency via Getty Images
อ้างอิง: