รัสเซียจับมือกับเมียนมาพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 350 กิโลเมตร เป้าหมายของรัสเซียคืออะไร จะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างไรบ้าง
ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในงานสัปดาห์สิ่งแวดล้อมแม่โขง-อาเซียน 2025 บนเวทีเสวนา ‘ทวายใต้ความขัดแย้ง: เขตเศรษฐกิจพิเศษ ความขัดแย้งทางอาวุธ การแทรกแซงทางภูมิรัฐศาสตร์ และการฟอกเขียว’
หลังมีข้อกังวลว่ารัสเซียอาจเข้ามาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กที่เมืองทวาย ประเทศเมียนมา ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับสิทธิมนุษยชน การเมือง และความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะผลกระทบที่อาจลุกลามข้ามพรมแดนมาถึงประเทศไทย
โดยมีรายงานว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่รัสเซียกำลังจับมือกับเมียนมาเพื่อพัฒนานั้นอยู่ในเมืองทวาย ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 350 กิโลเมตร
รู้จัก ‘ทวาย’ พื้นที่นี้สำคัญอย่างไร?
ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ฉายภาพว่า เดิมทีพื้นที่ทวายเคยถูกวางให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ดึงดูดเมกะโปรเจกต์ต่างๆ เข้าไปลงทุน
โดยรัฐบาลไทยเองก็เคยที่เข้าไปลงทุนในโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย แต่สุดท้ายโครงการได้ล้มเหลวไป เนื่องมาด้วย 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัญหาภายใน บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานในโครงการนี้ และปัจจัยด้านผลกระทบต่อชาวบ้านที่ถูกไล่ที่ รวมถึงยังพบการตัดไม้ทำลายป่าอย่างหนัก
อีกทั้งพื้นที่ตั้งโครงการดังกล่าวตั้งแต่บ้านน้ำพุร้อนจังหวัดกาญจนบุรีไปจนถึงเมืองทวายไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเมียนมา แต่เป็นพื้นที่อิทธิพลของกองกำลังกะเหรี่ยง KNU กองพลน้อยที่ 4 ซึ่งยังคงสู้รบอย่างหนักกับกองทัพเมียนมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้โครงการท่าเรือน้ำลึกทวายไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
แรงจูงใจของรัสเซียคืออะไร?
คำถามคือแรงจูงใจหลักที่ทำให้รัสเซียสนใจลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ทวาย ทั้งที่เศรษฐกิจของรัสเซียเองก็ย่ำแย่คืออะไร
อาจารย์ลลิตา มองว่า แรงจูงใจสำคัญของรัสเซียคือต้องการหาพันธมิตรใหม่ หลังจากเสียพันธมิตรไปจำนวนมากและถูกคว่ำบาตรจากสงครามยูเครน
ดังนั้นพันธมิตรใหม่ที่รัสเซียมองหาคือประเทศที่มี ‘ศีลเสมอกัน’ หรือคุยกันได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย รัสเซียไม่ต้องการเจรจากับประเทศตะวันตกที่มักพูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน จึงหันไปหาประเทศที่ปกครองด้วยระบอบ Oligarchy หรือ คณาธิปไตย เป็นการปกครองบนโครงสร้างอำนาจที่กระจุกอยู่กับกลุ่มบุคคลส่วนน้อย ประเทศเหล่านี้ เช่น เบลารุส จีน เกาหลีเหนือ กัมพูชา และเมียนมา เป็นต้น
ในขณะที่ฝั่งเมียนมาก็ต้องการพันธมิตรเช่นกัน แต่ต้องการพันธมิตรที่สามารถให้ผลประโยชน์ตอบแทนได้ โดยเฉพาะอาวุธยุทโธปกรณ์และเครื่องบินรบเพื่อใช้ในการสู้รบภายในประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่การรัฐประหาร
ซึ่งเมียนมาเล็งเห็น 2 ประเทศที่คาดว่าน่าจะคุยกันได้นั่นก็คือ รัสเซียกับจีน แต่ด้วยทัศนคติของชนชั้นนำฝ่ายปกครองของเมียนมาที่ไม่เชื่อใจจีน โดยมองว่าอาจเป็นภัยคุกคามที่จ้องจะเอาเปรียบและพยายามเข้ามามีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจของเมียนมา โดยมีบทเรียนในอดีตอย่าง โครงการเขื่อนมิตโสน เท่ากับว่ารัสเซียคือตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าเพราะไม่มีพรมแดนติดกับเมียนมา
ประกอบกับกองทัพเมียนมามีธรรมเนียมส่งนายทหารไปศึกษาต่อที่รัสเซียเป็นจำนวนมาก เนื่องจากถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรและไม่ต้องการใกล้ชิดจีนมากเกินไป ส่งผลให้นายทหารที่มีอิทธิพลหรือ ‘ดาวรุ่ง’ ในกองทัพปัจจุบันหลายคนเป็นสายโปรรัสเซีย ทำให้กระแสหลักในรัฐบาลทหารเมียนมาเอนเอียงไปทางรัสเซียมากกว่าประเทศอื่นๆ
ดังนั้นการร่วมมือครั้งนี้จึงมีแรงจูงใจเชิงภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าเรื่องเศรษฐกิจ เพื่อเป็นการคานอำนาจกับจีนและโลกตะวันตก และนี่ยังถือว่าเป็นครั้งแรกที่รัสเซียสามารถขยายอิทธิพลมาได้ไกลถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
ผลกระทบที่จะตามมา : สิ่งแวดล้อม สงคราม ภูมิรัฐศาสตร์
แล้วถ้าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นี้เกิดขึ้นจริง ไทยจะได้รับผลกระทบในมิติไหนบ้าง อาจารย์ลลิตา ระบุว่า ผลกระทบที่ไทยควรจับตามองอย่างใกล้ชิด แน่นอนว่าเป็นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของคนไทย
เนื่องจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำเป็นต้องสร้างติดทะเลเพื่อใช้ระบบระบายความร้อน ซึ่งจะปล่อยความร้อนลงสู่ทะเล จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดมลพิษทางอากาศ หรือความเป็นไปได้ที่ร้ายแรงที่สุดคือเกิดอุบัติเหตุ อย่างเช่น กรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล โดยพื้นที่แรกๆ ที่จะได้รับผลกระทบคือจังหวัดกาญจนบุรี ผลกระทบที่จะตามมาต่อเนื่องก็คือการสู้รบที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากพื้นที่ตั้งโรงงานเป็นเขตสู้รบ กองกำลัง KNU ย่อมไม่ยอมรับการมีอยู่ของโครงการนี้
และสุดท้ายคือโครงการนี้อาจสร้างภัยคุกคามต่อความมั่นคงของไทยในระยะยาว อาจารย์ลลิตา ชี้ว่า การปล่อยให้มหาอำนาจภายนอก เช่น จีนและรัสเซีย เข้ามามีอิทธิพลประชิดชายแดนไทยมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อความมั่นคงของไทย และสถานการณ์นี้เปรียบเสมือนภัยที่ ‘จ่อคอหอย’
นี่คือภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ไม่ใช่แค่การทหารหรือยาเสพติด แต่เป็นเรื่องของมลพิษข้ามพรมแดน เช่นเดียวกับกรณีสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกกโดยมีต้นตอมาจากเหมืองในรัฐว้า
แล้วรัฐบาลไทยควรทำอย่างไร?
อาจารย์ลลิตา ย้ำว่า ไทยต้องมองข้ามความสัมพันธ์แบบรัฐต่อรัฐ (G2G) และต้องเคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้ การยึดติดกับแนวทางเดิมๆ ที่มองว่าเป็นเรื่องภายในของเพื่อนบ้าน จะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ เพราะผู้มีบทบาทสำคัญในเมียนมาไม่ใช่แค่รัฐบาล แต่ยังรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ด้วย
ในขณะที่บทบาทของอาเซียนค่อนข้างจำกัด เพราะมีหลักการไม่แทรกแซงการเมืองภายใน อีกทั้งสำหรับเมียนมาแล้วการคบกับ ‘รัสเซีย’ ถือเป็นทางออกที่รัฐบาลทหารเมียนมาเหลืออยู่เพราะไม่ได้มีทางเลือกมากนัก
และถึงแม้อาเซียนอาจจะใช้วิธีการกดดัน แต่เมียนมาเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือรับฟังกับอาเซียนมากนัก เนื่องจากมองว่าอาเซียนปฏิบัติต่อตนไม่ดี
อย่างไรก็ตามโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่รัสเซียจับมือกับเมียนมายังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าโครงการจะเริ่มสร้างเมื่อไหร่หรือมีแผนอย่างไร ดังนั้นจึงต้องติดตามเรื่องนี้กันอย่างใกล้ชิดต่อไป