วานนี้ (23 กรกฎาคม) รัสเซียได้เปิดฉากยิงขีปนาวุธถล่มโครงสร้างพื้นฐานในท่าเรือเมืองโอเดสซา ทางตอนใต้ของยูเครน ซึ่งเป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ทั้งสองประเทศได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อเปิดเส้นทางส่งออกธัญพืชจากท่าเรือในทะเลดำ โดยในข้อตกลงดังกล่าว ฝ่ายรัสเซียได้ให้คำมั่นว่าจะไม่พุ่งเป้าโจมตีมาที่ท่าเรือแห่งนี้
หน่วยบัญชาการปฏิบัติการทางใต้ของยูเครนเปิดเผยผ่านทาง Telegram วานนี้ว่า “ศัตรูโจมตีท่าเรือการค้าในเมืองโอเดสซาด้วยขีปนาวุธร่อน Kalibr กองกำลังป้องกันทางอากาศสามารถยิงสกัดขีปนาวุธได้ 2 ลูก ส่วนอีก 2 ลูกตรงเข้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือ”
อย่างไรก็ตาม กองทัพเปิดเผยว่า ขีปนาวุธดังกล่าวไม่ได้สร้างความเสียหายในระดับที่รุนแรงมากนัก และรัฐบาลยูเครนจะยังคงเดินหน้าเตรียมการส่งออกธัญพืชจากท่าเรือในทะเลดำต่อไป
ด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวว่า นี่เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนจากรัสเซีย อีกทั้งยังชี้ให้เห็นชัดเจนว่ายูเครนไม่สามารถเชื่อถือรัสเซียได้ว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลงที่ให้ไว้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนยังได้ให้คำมั่นว่าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อจัดหาระบบป้องกันภัยทางอากาศที่สามารถยิงสกัดขีปนาวุธได้ในอนาคต
ขณะเดียวกัน แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาประณามการกระทำของรัสเซีย โดยระบุว่า รัสเซียจะต้องรับผิดชอบต่อวิกฤตอาหารโลกที่รุนแรงกว่าเดิม อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่า การโจมตีท่าเรือได้บ่อนทำลายการประสานงานของสหประชาชาติ (UN) ตุรกี และยูเครนในการจัดส่งอาหารที่สำคัญสู่ตลาดโลก อีกทั้งยังทำลายความน่าเชื่อถือของตัวรัสเซียเองด้วย
ด้านทำเนียบเครมลินยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจมตีครั้งนี้ แต่รัฐบาลตุรกีซึ่งรับหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจาข้อตกลงระบุว่า ในเบื้องต้นนั้นเจ้าหน้าที่ของรัสเซียได้ปฏิเสธความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีท่าเรือ โดย ฮูลูซี อาการ์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมตุรกี กล่าวว่า ในระหว่างการติดต่อกับรัสเซีย เจ้าหน้าที่บอกเราว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้เลย และพวกเขากำลังตรวจสอบประเด็นนี้อย่างใกล้ชิดและละเอียดถี่ถ้วน
ที่ผ่านมานั้นรัสเซียและยูเครนต่างเป็นชาติที่มียอดส่งออกข้าวสาลีมากที่สุดในโลก แต่หลังจากที่รัสเซียตัดสินใจส่งทหารเข้ารุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ส่งผลให้ราคาข้าวสาลีดีดตัวขึ้นอย่างมากทั่วโลก โดยเฉพาะในแอฟริกาที่พึ่งพาข้าวสาลีจากทั้งสองประเทศเป็นหลัก เนื่องจากรัสเซียได้ส่งกองเรือเข้าไปปิดล้อมท่าเรือในทะเลดำ ทำให้การส่งออกของยูเครนลดลงเหลือเพียง 1 ใน 6 ของระดับปกติ รวมถึงยังมีธัญพืชกว่า 20 ล้านตันที่ตกค้างอยู่ที่คลังท่าเรือช่วงก่อนหน้านี้
แฟ้มภาพ: Igor Golovniov/SOPA Images/LightRocket via Getty Images
อ้างอิง: