สทนช. ถกด่วนหน่วยเกี่ยวข้อง เล็งเสนอมาตรการแก้ไข-พร้อมแผนเยียวยาผลกระทบ เตรียมเปิดศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวเพื่อบูรณาการข้อมูลในภาวะวิกฤตตามติดภัยแล้งให้เป็นเอกภาพ จี้ทุกหน่วยพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เร่งแผนขุดลอกทางน้ำ รณรงค์ทุกภาคส่วนประหยัดน้ำ เข้มการใช้น้ำทุกพื้นที่ป้องกระทบแล้งหน้า หวังสร้างสมดุลน้ำต้นทุนกับความต้องการใช้
วันนี้ (22 ก.ค. 2562) สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 8/2562 ว่า ที่ประชุมได้มีการติดตาม ประเมิน คาดการณ์สภาพอากาศ ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำปัจจุบัน
พบว่า มีปริมาณน้ำรวม 38,665 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 47% แบ่งเป็น
- ภาคเหนือ 9,183 ล้าน ลบ.ม. (34%)
- ภาคกลาง 508 ล้าน ลบ.ม. (20%)
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4,246 ล้าน ลบ.ม. (33%)
- ภาคตะวันตก 18,284 ล้าน ลบ.ม. (68%)
- ภาคตะวันออก 1,120 ล้าน ลบ.ม. (36%)
- ภาคใต้ 5,323 ล้าน ลบ.ม. (58%) และศักยภาพน้ำบาดาล 1,228 ล้าน ลบ.ม. ต่อเดือน โดยมีปริมาณน้ำต้นทุนมากกว่าปี 2558 จำนวน 2,293 ล้าน ลบ.ม. (7%) แต่มีปริมาณน้ำน้อยกว่าปี 2561 จำนวน 11,904 ล้าน ลบ.ม. (25%) มีอ่างฯ ที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่า 30% แบ่งเป็น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จำนวน 19 แห่ง ซึ่งต้องเฝ้าระวัง และอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง อีก 151 แห่ง
ทั้งนี้ การที่ปริมาณน้ำต้นทุนมีปริมาณน้อย แม้จะอยู่ในช่วงฤดูฝน มีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. ปริมาณฝนตกช่วงฤดูฝนปี 2561 ตกน้อยกว่าค่าปกติประมาณ 10-17% 2. มีการส่งน้ำให้กับพื้นที่เกษตรที่เพาะปลูกเกินแผนในฤดูแล้งปี 2561/62 โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการเพาะปลูกเกินแผน 1.2 ล้านไร่ ทำให้ต้องจัดสรรน้ำมากกว่าแผน 20% หรือ 1,528 ล้าน ลบ.ม. 3. มีปริมาณฝนตกจริงน้อยกว่าที่คาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ประมาณ 30-40% ในภาคเหนือ กลาง และตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงทำให้ต้องจัดสรรน้ำจากอ่างเก็บน้ำให้พื้นที่การเกษตรมากกว่าแผน
“นับตั้งแต่ 1 พ.ค. 2562 เป็นต้นมา กรมอุตุฯ และ สสน. ได้ยืนยันคาดการณ์ปริมาณฝนที่จะตกในช่วงครึ่งแรกของฤดูฝน เดือน พ.ค.-ก.ค. จะมีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติ 5-10% ส่วนครึ่งหลังของฤดูฝน ตั้งแต่ ส.ค.-ต.ค. จะมีปริมาณฝนใกล้เคียงกับค่าปกติ และคาดว่าจะมีพายุพัดผ่านประเทศไทย 1-2 ลูกในช่วงเดือน ส.ค. 2562 นี้ แต่จากสถิติฝนที่ตกจริงในช่วงเดือน มิ.ย.-15 ก.ค. ที่ผ่านมาพบว่า มีปริมาณฝนตกน้อยกว่าค่าปกติ 30-40% ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีปริมาณฝนมากกว่าปี 2558 ซึ่งเป็นปีแล้งสุดประมาณ 12% ส่วนภาคอื่นๆ เป็นไปตามคาดการณ์ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเอลนีโญกำลังอ่อน โดยที่การคาดการณ์ของกรมอุตุฯ และ สสน. สำหรับครึ่งหลังฤดูฝนยังคงยืนยันเหมือนเดิม คือใกล้เคียงกับค่าปกติ เทียบใกล้เคียงกับปี 2550” เลขาธิการ สทนช. กล่าว
เลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมา สทนช. ได้มีการคาดการณ์สถานการณ์น้ำ เพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนรับมือในสถานการณ์ที่อาจจะมีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม หรือฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ต้นฤดูฝน โดยทำการวิเคราะห์ชี้เป้าหมายพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเฝ้าระวังเตรียมการวางแผนรับมือ ทบทวนปรับแผนการจัดสรรน้ำ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการสำรวจพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหายไว้ล่วงหน้า เพื่อออกมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้วย โดยล่าสุด สทนช. ได้ประเมินพื้นที่ฝนตกน้อย และอาจมีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน 83 อำเภอ 20 จังหวัด แบ่งเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 35 อำเภอ 10 จังหวัด ภาคใต้ 27 อำเภอ 3 จังหวัด ภาคเหนือ 18 อำเภอ 6 จังหวัด และภาคตะวันตก 3 อำเภอ 1 จังหวัด
ดังนั้น เบื้องต้นที่ประชุมได้พิจารณามาตรการรับมือภัยแล้งในช่วงฤดูฝน เพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร่งด่วน
ทั้งมาตรการเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาวให้เข้มข้นมากขึ้น อาทิ 1. เปิดศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ (สทนช.) เพื่อบูรณาการกับศูนย์ปฏิบัติการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (มท. กษ. กห.) และของจังหวัดอย่างใกล้ชิด เพื่อรายงานสถานการณ์ต่อนายกรัฐมนตรี 2. ปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่เหนือและท้ายอ่างเก็บน้ำ 3. ปรับแผนการระบายน้ำและการเพาะปลูกพืช 4. สนับสนุนน้ำอุปโภคบริโภคจากแหล่งน้ำใกล้เคียงในพื้นที่เสี่ยง 5. เร่งรัดขุดลอกเพิ่มความจุแหล่งน้ำต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ประกาศภัยแล้ง-แล้งซ้ำซากจำนวน 144 โครงการ วงเงิน 1,226 ล้านบาท 6. ปรับแผนการขุดเจาะ และซ่อมแซมบ่อบาดาล 7. ทบทวนการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน น้ำท่าที่ไหลเข้าอ่าง และน้ำในแม่น้ำ ในช่วงวันที่ 15 ก.ค. ถึง 31 ต.ค. 2562 เพื่อวางแผนการใช้น้ำฤดูฝนนี้และฤดูแล้งปี 2562/63 8. เร่งรัดการก่อสร้างและซ่อมแซมฝายชะลอน้ำบริเวณต้นน้ำในเขต 67 จังหวัด จำนวน 30,000 แห่ง งบประมาณ 3,000 ล้านบาท 9. สำรวจความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ พร้อมจัดเตรียมบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกล รถบรรทุกน้ำ และเครื่องมื่อเพื่อสนับสนุนการจัดสรรน้ำตามลำดับความสำคัญ เน้นน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคเป็นหลัก ควบคู่กับการเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค 10. บริหารจัดการน้ำฝนที่ตกบริเวณพื้นที่ด้านท้ายแหล่งกักเก็บน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยกักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด และนำน้ำที่จะระบายทิ้งกลับมาใช้ใหม่ 11. กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง 12. ให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด รวมถึงบูรณาการข้อมูลให้เป็นเอกภาพ 13. รณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัด สร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำทุกภาคส่วนต่อเนื่อง เป็นต้น โดยมีเป้าหมายเพื่อกักเก็บน้ำไว้ให้ได้ไม่น้อยกว่า 3,200 ล้าน ลบ.ม. ณ วันที่ 1 พ.ย. 2562
สำหรับสถานการณ์ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงลดระดับก่อนหน้านี้ สทนช. ได้มีการประสานและขอความร่วมมือจากทางการของประเทศจีนและลาวแล้ว ซึ่งขณะนี้ทางลาวได้กลับมาระบายน้ำทางเขื่อนไซยะบุรี เพื่อใช้ในการปั่นกระแสไฟฟ้าตามปกติ ในส่วนของจีน หลังจากที่มีการปรับลดการระบายน้ำในเขื่อนจิ่งหงไปในช่วง 5-17 ก.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้มีการปรับเพิ่มการระบายน้ำกลับมาในปริมาณเกือบเท่าเดิมแล้วเช่นกัน แต่ยังคงน้อยกว่าช่วงต้นเดือนมิถุนายน
ภาพ: สทนช.
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์