วันนี้ (10 สิงหาคม) ที่รัฐสภา รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวภายหลังได้พบปะกับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่ในรัฐสภาตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ว่า สำหรับพรรคก้าวไกลคุณพิธาเป็นนายกฯ ของพวกเราในเชิงความชอบธรรม แต่ทางทฤษฎียังมีโอกาส เพราะยังไม่มีการตั้งนายกฯ และคุณพิธามีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกฯ ได้ ต้องยอมรับว่าถึงขนาดนี้แล้ว เจ็บแล้วจำ ยืนยันว่าไม่หมดหวัง
“เราเจอพี่น้องประชาชนมาไถ่ถามในเรื่องนี้ ทุกคนมีความหวังอยากให้คุณพิธาเป็นนายกฯ เขาอยู่กับความฝันและความหวังตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ว่านี่คือนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แล้วอยู่ๆ ก็เกิดเหตุแบบนี้ซึ่งไม่ใช่เหตุธรรมชาติ แต่เป็นเหตุที่มีคนได้วางเกมเอาไว้แล้ว ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นกับดักหรือไม่ แต่เป็นหลุมทางการเมืองที่มีคนตั้งใจขุดเอาไว้ เพื่อทำให้ประเทศไทยมาสู่หนทางแบบนี้” รังสิมันต์กล่าว
รังสิมันต์กล่าวถึงการเดินหน้ารวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลขณะนี้ว่า เราอยากมีนายกรัฐมนตรีเร็วๆ แต่สุดท้ายกลายเป็นการตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ใช้คำพูดว่าเป็นการสลายขั้ว ผมคิดว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นคนพูด ไม่นึกว่ามาจากคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามันพาประเทศไทยกลับไปวังวนแบบเดิม ถ้าเราถอดบทเรียนความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต
รังสิมันต์กล่าวอีกว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ซึ่งคนที่เลือกมาต้องการให้เป็นรัฐบาล กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เชื่อในเรื่องของประชาธิปไตยใช้วิธีรัฐประหารสร้างภาพในเรื่องของนักการเมืองเลว นักการเมืองที่ไม่ซื่อสัตย์ นักการเมืองที่ไม่สามารถเชื่อถือได้
“วันนี้เรากำลังอยู่ในวังวนแบบนี้อีกแล้ว พอคุณบอกว่าการหาเสียงมันเป็นสิ่งที่ทำไปเพื่อให้ได้คะแนน ไม่ใช่คำสัญญาอะไร ต่อไปนี้นักการเมืองจะเชื่อถือได้หรือ สุดท้ายทำให้คนตั้งคำถามว่าระบอบประชาธิปไตยถ้าเป็นแบบนี้ มันไม่มีความหมาย เพราะเลือกตั้งไปมันไม่สามารถสะท้อนเจตจำนงของเขาได้ ถ้าตั้งสติกันสักนิด เราควรที่จะกลับมาทบทวนไหมว่าบรรยากาศแบบนี้ในระยะยาวมันทำลายประชาธิปไตย” รังสิมันต์กล่าว
รังสิมันต์ย้ำว่า ก้าวไกลพร้อมทำหน้าที่ในทุกรูปแบบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำลายความหวังของประชาชนอย่างรุนแรง
เมื่อถามว่า คาดคิดหรือไม่ว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ รังสิมันต์กล่าวว่า ก็คิด แต่คิดว่าน่าจะเกิดน้อยที่สุด เพราะมันทำลายประชาธิปไตย ผมคิดว่าถ้าเรามองในช่วงเลือกตั้ง เรามีดิจิทัลฟุตพรินต์ ใครทำอะไรรู้กันหมด เลยคิดว่าเมื่อเราทำถึงขนาดนั้นแล้ว คงไม่คิดถึงขนาดว่าสิ่งที่ทำเป็นการหาเสียงไม่ใช่คำสัญญา มันออกจะเกินไปหน่อย
เมื่อถามว่าช่วงนี้ดูตัดพ้อ ท้อหรือไม่ รังสิมันต์กล่าวว่า ไม่ได้ตัดพ้อแบบบ่นไปเรื่อย แต่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งตนค่อนข้างมีความหวังว่าตราบใดที่ยังไม่มีการเลือกนายกรัฐมนตรี ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุกต่อมความคิดว่าเราอย่าทำอย่างนั้นเลย มันไม่เกิดประโยชน์ถ้ามันทำสำเร็จ บ้านเมืองก็จะเดินหน้าอย่างที่ควรจะเป็น
“ผมยอมรับว่าผมไม่อินโนเซนต์ ไม่นาอีฟ (ไร้เดียงสา) ผมเข้าใจว่าโอกาสที่จะเป็นแบบนั้นมันก็คงยาก เช่นเดียวกับที่คุณพิธาให้สัมภาษณ์ ว่าเรารับฟังอย่างมืออาชีพ” รังสิมันต์กล่าว