ดูเหมือนจะยังไม่มีข่าวดีสำหรับตลาดนาฬิกาหรูมือสอง เพราะหลังจากจบไตรมาสที่ 2 ของปีไปหมาดๆ ล่าสุดรายงานดัชนีตลาดโดยรวมจาก WatchCharts ที่ติดตามนาฬิกาหรู 60 เรือนจาก 10 แบรนด์ในตลาดมือสองเผยว่า ราคายังคงลดลงเป็นไตรมาสที่ 9 ติดต่อกัน โดยลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก 2.1% และ 1.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี
หากเทียบการเปลี่ยนแปลงปีต่อปีมีเพียง 5 แบรนด์เท่านั้นที่มีราคาสูงขึ้น เช่น Montblanc +2.4% และ Hamilton +2.2% ส่วนแบรนด์ระดับไฮเอนด์อย่าง A. Lange & Söhne ลดลง -5.3%, Breitling -5.9%, Omega -6.8%, Rolex -7.2% และ Audemars Piguet -12.5% โดยนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เชื่อว่า ราคาจะยังไม่คงที่ในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนนาฬิกามือสองหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดมากกว่าความต้องการถึง 3 เท่า และหากเทียบกับปี 2021 ขณะนี้มีนาฬิกามือสองมากกว่า 4 เท่า แต่ถึงอย่างนั้นก็มีประมาณ 2 ใน 3 รุ่น ยังคงมีมูลค่าในตลาดขายต่อมากกว่ารุ่นใหม่จากร้านค้าปลีก
สำหรับแบรนด์ยอดนิยมอย่าง Rolex มีราคาขายต่อของแบรนด์ลดลงอีก 2.2% จากไตรมาสก่อน รวมแล้วลดลง 2.1% ในไตรมาสที่ 9 ติดต่อกัน โดยมีนาฬิการุ่นหายากอย่าง Daytona ช่วยพยุงราคาของทั้งแบรนด์เอาไว้ เพราะแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อ Rolex Daytona ได้จากร้านค้าปลีก
จากรายงานข่าวของ Robb Report ปัจจุบัน Rolex Daytona 126500LN ราคาขายปลีกอยู่ที่ 15,100 ดอลลาร์ หรือราว 545,000 บาท แต่ในตลาดมือสอง นาฬิการุ่นนี้อาจราคาอาจพุ่งไปถึง 30,000 ดอลลาร์ หรือราว 1 ล้านบาท เพราะต้องใช้เวลารอคิวจองในร้านค้าปลีกเป็นเวลาหลายปี ส่วนหนึ่งก็เป็นกลยุทธ์ของสินค้าในกลุ่มลักชัวรีที่ต้องจำกัดการเข้าถึงของสินค้า แบบเดียวกับที่ Louis Vuitton และ Hermès มักผลิตน้อยกว่าความต้องการประมาณ 20% ซึ่ง Rolex ก็ลดการผลิต Daytona ลงตั้งแต่ปี 1988 ส่วนรุ่นอื่นๆ ก็หาได้ไม่ง่ายเช่นกัน
เมื่อปีที่แล้ว Rolex ก็เปิดโปรแกรม Certified Pre-Owned เพื่อเป็นผู้เล่นในตลาดมือสองเสียเอง ทั้งเพื่อบรรเทาความขาดแคลนของร้านค้าที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจาก Rolex และเป็นแหล่งรายได้ที่น่าสนใจแบบเดียวกับที่ Ferrari เคยทำได้มาแล้ว ซึ่งหากเทียบจากสถิติในปี 2022 ยอดขายนาฬิกามือสองเพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ยอดขายนาฬิกาใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 12% เท่านั้น
Rolex อีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามองคือ GMT-Master โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Rolex Pepsi GMT-Master II (Ref. 126710BLRO) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘Pepsi’ เป็นเพียง 1 ใน 2 สองรุ่นที่มีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ประมาณ 2.9% ในช่วง 12 เดือน ซึ่งรุ่นนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นนาฬิกาสำหรับนักบินในปี 1955 โดยมีเข็มนาฬิกาติดตามเวลา 24 ชั่วโมง และใช้กรอบ 2 สีคือ สีแดงสำหรับเวลากลางวัน และสีน้ำเงินสำหรับกลางคืน หลังจากนั้นจึงมีการนำสีอื่นๆ มาใช้ในภายหลัง
GMT-Master เป็นรากฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของ Rolex
และนี่คือนาฬิกา 5 เรือนที่เป็นตัวแทนของคอลเล็กชันที่ดีที่สุดตลอดประวัติศาสตร์ จนกลายเป็นที่ต้องการ น่าสะสม และมีคุณค่ามากที่สุดที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้
1. Rolex GMT-Master 6542 จากปี 1958 ราคาประมาณ 2.34 ล้านบาท
นาฬิกา GMT-Master 6542 วินเทจที่มีพื้นฐานมาจาก Turn-O-Graph (Ref. 6202) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1955 ด้วยกรอบเบเซลที่แยกครึ่งบนเป็นสีน้ำเงินและครึ่งล่างเป็นสีแดงเพื่อแสดงเวลากลางวันและกลางคืน ซึ่งกลายเป็นที่มาของชื่อ BLRO ที่จะกำหนดคอลเล็กชัน และนาฬิกา GMT อื่นๆ ของ Rolex จนถึงปัจจุบัน โดยนำมาจากสองอักษรต้นของคำว่า BLue และ ROuge และเนื่องจากนาฬิการุ่นนี้ใช้วัสดุ Bakelite หรือพลาสติกทางวิศวกรรมที่ค่อนข้างเปราะ ทำให้รุ่นที่เป็นออริจินัลเหลืออยู่ในปัจจุบันน้อยมาก
2. Rolex GMT-Master 1675/8 Yellow Gold จากปี 1977 ราคาประมาณ 1.32 ล้านบาท
ความน่าสนใจของนาฬิกาเรือนนี้ นอกจากตัวเรือนที่ทำจากวัสดุล้ำค่าอย่างทองคำแล้ว ยังเป็นการปรับปรุงโทนสีให้เป็นสีน้ำตาลทั้งหมด ไม่ใช่แบบทูโทน จับคู่ไปกับสายแบบ Jubilee เข้ากับหน้าปัดและกรอบสีน้ำตาล (ไม่ใช่แบบสองสี) และยังปรับปรุงตำแหน่งบอกชั่วโมงให้เป็นรูปทรงกรวย เปลี่ยนบุคลิกของ GMT-Master และเข้ากับสีใหม่อย่างลงตัว
3. Rolex GMT-Master 1675 Double Signed จากปี 1963 ราคาประมาณ 1.19 ล้านบาท
Rolex GMT-Master 6542 ผลิตจนถึงปี 1959 จากนั้นก็แทนที่ด้วยรหัส 1675 และผลิตต่อมาจนถึงปี 1980 โดยในรุ่นนี้ใช้ขอบหน้าปัดอะลูมิเนียม แม้จะมีเสน่ห์ไม่เท่ากับวัสดุ Bakelite แต่ก็ใช้งานได้จริงมากกว่า นอกจากนี้ยังใช้กลไก Calibre 1565 และนำ Crown Guard มาใช้กับตัวเรือนแตกต่างจากรุ่น 6542 ทำให้มีความคงทนมากกว่า จนกลายเป็นที่ต้องการของนักสะสม
4. Rolex GMT-Master 16758 Yellow Gold จากปี 1984 ราคาประมาณ 1.25 ล้านบาท
เวอร์ชันอัปเดตของ 1675 โดยในปี 1981 Rolex เริ่มเปลี่ยน GMT เป็นรหัสอ้างอิง 5 หลัก และเพิ่มความทันสมัยเข้าไป เช่น กลไกอัปเดตพร้อมคุณสมบัติแสดงวันที่แบบตั้งค่าเร็ว มาพร้อมกับหน้าปัดแบบด้านขอบ White Gold และหน้าปัดแบบมัน โดย GMT รุ่นนี้ผลิตแบบ Yellow Gold เต็มรูปแบบและแบบทูโทนด้วย
5. Rolex GMT-Master II 16760 ราคาประมาณ 1 ล้านบาท
ในปี 1983 Rolex เปิดตัวการอัปเดต GMT ครั้งใหญ่ด้วยรหัสอ้างอิง 16760 ซึ่งเป็น GMT-Master II รุ่นแรก และมีการผลิตเพียง 5 ปีเท่านั้น โดยมีชื่อเล่นอีกอย่างว่า ‘Fat Lady’ เนื่องจากมีตัวเรือนที่หนาขึ้น และนำกรอบหน้าปัดชั่วโมง White Gold มาใช้ พร้อมกับกรอบสีแดงและสีดำ หรือที่เรียกว่า ‘Coke’ และสาเหตุที่เคสต้องหนาและอ้วนนั้นเพื่อรองรับกลไก Calibre 3085 ซึ่งตัวเครื่องมีขนาดหนาและใหญ่นั่นเอง
อ้างอิง:
- https://www.businessinsider.com/rolex-resale-values-likely-fall-making-easier-buy-new-retail-2024-7
- https://finance.yahoo.com/news/rolex-prices-are-falling-and-supplies-are-rising-151919533.html
- https://robbreport.com/style/watch-collector/gallery/5-rare-and-collectible-rolex-gmt-masters-you-can-buy-1235737252/
- https://www.scmp.com/magazines/style/luxury/watches/article/3268279/why-rolex-gmt-master-ii-so-popular-pre-owned-bubble-has-burst-swiss-luxury-brand-sales-beloved-pepsi