ทันทีที่บอลซึ่งออกจากปลายเท้าของ จอร์จินโญ กองกลางตัวคุมเกมคนสำคัญ พุ่งกระทบก้นตาข่าย โรแบร์โต มันชินี ยอดโค้ชผู้เคร่งขรึมที่มาดเนี้ยบมาตลอดการแข่งขันฟุตบอลยูโรหนนี้ก็ได้รับการปลดปล่อยจากความกดดันที่หนักเท่าอุกกาบาต
สภาพของมันชินีกระเซอะกระเซิงและแทบไม่มีแรงเหลือจะต่อต้านการฉลองจากเหล่านักเตะ ‘อัซซูรี’ ที่พากันมายินดีกับเขา หลังจากที่เอาชนะทีมแกร่งอย่างสเปนได้ในรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลยูโร 2020 ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อคืนที่ผ่านมา
เกมที่ทั้งสนุก ตื่นเต้น ตึงเครียด และเป็นการต่อสู้กันด้วยชั้นเชิงของสองทีมระดับคุณภาพสูงสุด ในบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมท่ามกลางแฟนฟุตบอลกว่า 60,000 คนในสนามเวมบลีย์ หรือ 2 ใน 3 ของความจุเต็ม
ในความรู้สึกแล้ว นี่คือเกมรอบรองชนะเลิศที่ดีเทียบเท่ากับรอบชิงชนะเลิศก็ว่าได้
อิตาลีตลอดรายการที่ผ่านมา พวกเขาเป็นทีมที่เล่นได้เหนือกว่าคู่แข่งมาโดยตลอด ด้วยสไตล์การเล่นแบบใหม่ ละทิ้งตัวตนเดิมอย่างปรัชญา ‘คาเตนัคโช’ (Catenaccio) หรือการฝากหัวใจไว้กับเกมรับ แล้วหันมาเล่นฟุตบอลเกมรุกที่แพรวพราวตามคำแนะนำของ อาร์ริโค ซาคคี ปราชญ์ลูกหนังที่ชี้ทางสว่างเอาไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
แต่ในการพบกับสเปนนั้นต้องยอมรับว่า อิตาลีไม่อาจจะต่อกรในกระบวนท่าที่ตัวเองถนัดได้เลย
จริงอยู่ที่การขาด เลโอนาร์โด สปินาซโซลา แบ็กซ้ายจอมบู๊ที่เป็นคีย์แมนตลอดทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมาจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเกม โดยเฉพาะการเปลี่ยนจังหวะการเล่น (Transition) จากรับเป็นรุกจะส่งผลไม่น้อย แต่สิ่งที่เราได้เห็นอย่างชัดเจนคือ สเปนนั้นเก่งกว่าพวกเขามากในเรื่องของ Passing Game
La Roja หรือเจ้ากระทิงดุ สมญาแบบไทยๆ ชุดนี้แม้จะถูกมองว่าไม่ได้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมนัก โดยเฉพาะในเรื่องของขุมกำลังที่ไม่อาจเทียบได้กับสเปนในอดีตที่จะมีผู้เล่นฝีเท้าดีมากมายเต็มทีมไปหมด แต่ หลุยส์ เอ็นริเก ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘ไอเดีย’ ฟุตบอลของเขานั้นใช้ได้ผลจริง
ตั้งแต่ก่อนที่เกมจะเริ่มต้นขึ้นสเปน เป็นทีมที่มีเปอร์เซ็นต์การครองเกมสูงที่สุดในบรรดาทุกทีม และยังเป็นทีมที่ผ่านบอลเยอะมากที่สุด สร้างโอกาสได้มากที่สุด ซึ่งในเกมนี้เราได้เห็นแล้วว่าแดนกลางที่นำมาโดย เซร์คิโอ บุสเกตส์ ผู้ซึ่งกลับมาท็อปฟอร์มสมกับเป็นหนึ่งในกองกลางตัวคุมเกมที่ดีที่สุดของโลกตลอดระยะเวลานับสิบปีที่ผ่านมา กับไอ้หนู เปดรี สายเลือดใหม่ของทีมบาร์เซโลนาที่อายุแค่ 18 ปี แต่เล่นเหมือนคนอายุ 28 ปี ที่อยู่ในช่วงท็อปพีกของชีวิต เหนือกว่าแดนกลางของอิตาลีมาก
และมันก็เป็นเช่นนั้นตลอดทั้ง 120 นาทีที่ต้องต่อสู้กัน
ปัญหาเดียวและเป็นปัญหาใหญ่ของสเปนคือ เรื่องของการเข้าทำจังหวะสุดท้ายที่หาคุณภาพได้ไม่มาก และการเปลี่ยนแปลงโอกาสให้เป็นประตูนั้นเป็นเรื่องที่ยากกว่า ซึ่งหากมองผลงานย้อนกลับไปตลอดทั้งรายการจะพบว่า นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเอาชนะคู่แข่งในเกม 90 นาที ได้แค่เกมเดียวคือเกมที่ไล่ถล่มสโลวะเกียขาดลอย 5-0 ในนัดสุดท้ายของรอบแรก
ตรงนี้ตรงข้ามกับอิตาลีที่หาโอกาสได้น้อยกว่า ครองบอลแทบไม่ได้ ลำพังจะโงหัวให้ขึ้นยังยาก แต่เมื่อมีโอกาสแล้วสามารถคว้ามาได้โดยไม่ยอมให้หลุดมือไป
เฟเดริโก เคียซา ลูกชายของ เอ็นริโก เคียซา ที่ชาวอิตาลีภูมิใจ
จากจังหวะเกมสวนกลับกับการต่อบอลไม่กี่จังหวะที่ทะลุไปถึงหน้าประตู เมื่อสเปนสกัดบอลกันไม่ขาด และมาเข้าเท้าของ เฟเดริโก เคียซา ไอ้หนูมหัศจรรย์ผู้เป็นทายาทของ เอ็นริโก เคียซา ดาวยิงชื่อก้องของยุค 90 ก็สามารถแต่งบอลเข้าเท้าขวาและปั่นโค้งเสียบเสาไกลอย่างสวยงาม
แต่สเปนชุดนี้มีข้อดีคือการไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ และหลังจากพยายามอยู่นาน พวกเขาก็ได้รางวัลตอบแทน เมื่อ ดานี โอลโม เพลย์เมกเกอร์คนหนุ่มที่ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงในเกมนี้ (พร้อมกับ มิเกล โอยาร์ซาบัล ที่ได้ลงตัวจริงแบบเซอร์ไพรส์!) ก็จ่ายให้ อัลบาโร โมราตา หลุดเข้าไปก่อนหลอกยิงผ่าน จานลุยจิ ดอนนารุมมา อย่างเหนือชั้น
นั่นทำให้แฟนบอลได้กำไรเพิ่มนิดหน่อย เมื่อได้ดูการต่อสู้ที่สนุกของทั้งสองทีมต่อไปจนถึงช่วงของการต่อเวลาพิเศษ
ก่อนจะจบลงที่การดวลจุดโทษ ซึ่งโมราตาผู้น่าสงสารเป็นคนยิงพลาด และทำให้สเปนต้องกระเด็นตกรอบไปทั้งที่ไม่เคยแพ้ใครเลยในเกมตลอดรายการ
หลังจบการแข่งขัน มันชินี ผู้ที่ยืดสถิติไร้พ่ายของอิตาลีต่อไปอีกเป็นเกมที่ 33 กล่าวด้วยความรู้สึกของคนที่ได้รับการปลดปล่อย
“แทบจะไม่มีใครเชื่อเลยว่าเราจะทำได้ แต่ตอนนี้เรามาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว” กุนซือวัย 56 ปีกล่าว
คำพูดของมันชินีนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะก่อนหน้าที่รายการจะเริ่ม อิตาลีไม่ได้เป็นหนึ่งในตัวเก็งเต็งจ๋า แม้ว่าจะทำผลงานในรอบคัดเลือกได้ดีก็ตาม เพราะสายตาจับจ้องไปที่ทีมอย่างฝรั่งเศส เบลเยียม หรืออังกฤษ มากกว่า แต่อัซซูรียุคใหม่ของเขาก็แสดงให้เห็นว่าทีมชุดนี้มีดีจริง
ไม่เฉพาะแค่เรื่องสไตล์การเล่นที่ดุดัน แต่พวกเขาแสดงให้เห็นแล้วถึงหัวจิตหัวใจที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของพวกเขาที่ทนทรหดเป็นพิเศษต่อการถูกทดสอบ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผ่านด่านสเปนมาได้สำเร็จ
และถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือเดนมาร์ก พวกเขาไม่กลัวใครทั้งนั้น เพราะเป้าหมายคือ It’s coming Rome เอาถ้วยอองรี เดอ โลเนย์ กลับไปบ้านเกิดให้ได้
ดานี โอลโม ดาวเด่นของสเปนในเกมนี้
ส่วนสเปน แม้จะต้องถูกหยุดเส้นทางเอาไว้แค่ตรงนี้ แต่ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจแม้แต่น้อย
นอกจากแนวทางใหม่ที่ชัดเจน ซึ่งพอจะทำให้เราได้เห็นแววว่ามีโอกาสที่ทีมจากแดนกระทิงจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในเวทีโลกได้ในไม่ช้าแล้ว พวกเขายังค้นพบเพชรเม็ดงามที่เปล่งประกายเจิดจ้าในการแข่งขันครั้งนี้อย่างเปดรีและโอลโม
เด็กสองคนที่มีโอกาสจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของสเปนในอนาคต ที่อาจจะต้องใช้เวลาอีกหน่อยเพื่อหาเพื่อนรุ่นราวคราวใกล้เคียงกันที่จะขึ้นชั้นตามมา
ขั้นต่ำที่สุดคือบทพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมา (รวมถึงที่อิตาลีทำ) นั้นถูกต้องแล้ว
เวลาที่ประสบปัญหา พบความยากลำบาก ตกต่ำ สิ่งที่จะแก้ไขได้คือการค้นหาคำตอบและแนวทางใหม่ ไม่ใช่การดันทุรังดื้อดึงฝืนต่อไป หรือการหาคำตอบส่งเดชแบบขอไปที
ถ้าตั้งใจที่จะแก้ไขทุกอย่างจริง นั่นหมายถึงสิ่งดีๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว
พูดถึงเรื่องฟุตบอลนะ!
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2021/jul/07/euro-2020-italy-spain-roberto-mancini-luis-enrique-reaction
- https://www.bbc.com/sport/football/57743513
- โรแบร์โต มันชินี บอกว่า มีแค่สิ่งเดี่ยวที่ เฟเดริโก เคียซา เหมือนกับพ่อของเขา นั่นคือจังหวะการแต่งบอลก่อนจะยิงประตู และประตูที่ยิงได้ในคืนนี้ก็ชวนให้คิดถึงเอ็นริโกขึ้นมาชะมัด
- ดานี โอลโม ความจริงเป็นเด็กฝึกหัดของบาร์เซโลนา แต่ไม่มีโอกาสแจ้งเกิด พ่อของเขาจึงตัดสินใจหาเส้นทางใหม่ให้ แม้จะอ้อมไกลสักหน่อยด้วยการไปเล่นกับดินาโม ซาเกร็บ ในโครเอเชีย แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะแจ้งเกิดเต็มๆ เป็นแชมป์ลีก 4 สมัย นักเตะยอดเยี่ยมของลีกอีก 2 หน ก่อนจะย้ายมาลีกใหญ่กับแอร์เบ ไลป์ซิก