การตัดสินใจของ เกรแฮม พอตเตอร์ ที่ขอรับงานคุมทีมสโมสรในระดับท็อปของโลกอย่างเชลซี ถึงจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เกี่ยวกับโอกาสที่อาจวนเวียนมาถึงแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิต แต่สำหรับไบรท์ตันมันเป็นช่วงเวลาของความกังวล
ทีมชุดนี้คือทีมที่ได้รับการก่อร่างสร้างขึ้นมาโดยฟุตบอลในแบบของพอตเตอร์ ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมคนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองมากที่สุดของอังกฤษ ด้วยฟุตบอลในสไตล์ที่มีความสร้างสรรค์ มีกลเม็ดเด็ดพรายในการเล่นที่สามารถทำให้สโมสรเล็กๆ จากแดนใต้ สามารถต่อกรกับทีมยักษ์ใหญ่ได้ในระดับที่น่าดูชม
ไบรท์ตันน่าจะถึงคราวล่มสลาย คือสิ่งที่ใครหลายคนแอบคิด
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ดูเหมือนฝ่ายบริหารของสโมสรจะมีคำตอบใหม่ให้กับคนที่เกิดความสงสัยในอนาคตของเจ้านางนวลแดนใต้ทีมนี้ด้วยการคว้าตัว โรแบร์โต เด แซร์บี ผู้จัดการทีมชาวอิตาลีที่กำลังว่างงาน หลังจากที่ต้องขอแยกทางจากชัคตาร์ โดเนตสก์ สโมสรต้นสังกัดของเขาในยูเครน เนื่องจากเกิดสงครามกับรัสเซีย
เด แซร์บี คือใครนะ?
บางทีเราควรจะได้ทำความรู้จักกับผู้จัดการทีมที่ได้รับการยกย่องจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา คนนี้มากขึ้นอีกสักหน่อย
ชื่อของ โรแบร์โต เด แซร์บี ไม่ได้เป็นชื่อของผู้จัดการทีมที่เป็นที่กล่าวถึงมากนักแม้กระทั่งในวงการฟุตบอลอิตาลีเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวของเขาเองก็ไม่ได้เป็นอดีตนักเตะดาวดังในระดับหัวแถวของประเทศมาก่อน
เมื่อครั้งที่ยังโลดแล่นในสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ เด แซร์บี ซึ่งเป็นผลผลิตจากมิลาเนลโล แต่ไม่สามารถแจ้งเกิดกับเอซี มิลาน ผ่านการค้าแข้งกับหลายสโมสร แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสโมสรที่อยู่ต่ำกว่าระดับเซเรียอา
ถึงอย่างนั้นโดยสไตล์การเล่นแล้ว ใครที่ได้เคยเห็นก็อดชื่นชมได้ไม่ยาก เพราะเด แซร์บี เป็นผู้เล่นในแบบ ‘หมายเลข 10’ สุดคลาสสิกของอิตาลี และยังเป็นผู้เล่นที่ถนัดซ้ายที่หาได้ยากขึ้นไปอีกด้วย เรียกว่าเป็นคนมีจินตนาการสูงส่งในการเล่นมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักเตะเลยทีเดียว และได้รับสมญาว่า ‘อัจฉริยะน้อย’ (Little Genius)
ก่อนที่เขาจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดเมื่อปี 2013 ในวัย 33 ปี เพื่อที่จะเริ่มต้นเส้นทางใหม่ในการเป็นคนคุมทีมบ้าง ซึ่งเริ่มจากสโมสรเล็กๆ อย่างดาร์โฟ โบอาริโอ ก่อนจะมีโอกาสได้คุมทีมเก่าที่เขาเคยรับใช้มาก่อนอย่างฟอจจา
ผลงานการทำทีมของเขาถือว่าใช้ได้ เพราะแนวคิดในการเล่นของเขาได้ซึมซับมาจากการศึกษาแนวทางการเล่นทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ผู้เป็น ‘ไอดอล’ ในการทำงานของเขาอย่างละเอียดมาโดยตลอด และเคยขอโอกาสในการไปชมการฝึกซ้อมทีมบาเยิร์นที่มีเป๊ปคุมทีมอยู่ ก่อนที่จะตกลงรับงานคุมทีมฟอจจาที่อยู่ในระดับเซเรียซีในปี 2014 ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีตามประสากุนซือชาวสเปนที่ไม่เคยหวงแหนความรู้กับใคร
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเป๊ปที่ยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน
งานใหญ่งานแรกมาถึงในปี 2016 เมื่อได้โอกาสในการคุมทีมปาแลร์โม สโมสรในระดับเซเรียอา แทนที่ของ ดาวิเด บัลลาร์ดินี ที่ถูกปลดจากตำแหน่งไป เพียงแต่งานใหญ่งานแรกของเขานั้นจบลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน
โดยนับจากรับตำแหน่งในวันที่ 6 กันยายน ปาแลร์โมภายใต้การนำของเขาแพ้รวด 7 นัด ไม่สามารถเก็บแต้มในบ้านได้เลยแม้แต่แต้มเดียวในระยะเวลา 3 เดือน และฟางเส้นสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อทีมพ่ายในการดวลจุดโทษต่อสเปเซีย สโมสรในระดับเซเรียบีในรายการโคปปา อิตาเลีย
ปาแลร์โมไม่มีทางเลือกนอกจากการปลดเด แซร์บี พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งสำหรับกุนซือคนหนุ่มที่อายุไม่มาก ความผิดหวังครั้งนี้รุนแรงไม่น้อย
เด แซร์บี ที่กำลังผิดหวังและสับสน คิดว่าเขาควรที่จะได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในการทำงานเพิ่มอีกสักหน่อย เพียงแต่คนที่เขาคิดถึงในตอนนั้นไม่ใช่เป๊ป แต่เป็นปรมาจารย์ของโลกอย่าง มาร์เซโล บิเอลซา ผู้เป็น ‘คุรุ’ ของคนมากมายในวงการ ซึ่งรวมถึงเป๊ปที่เคยขอโอกาสในการศึกษาวิชาการเล่นจากยอดกุนซือชาวอาร์เจนไตน์ด้วยเช่นกัน
ในช่วงนั้นบิเอลซาคุมทีมลีลล์ในฝรั่งเศสอยู่ เมื่อได้รับการติดต่อขอโอกาสในการเข้าไปศึกษาดูการทำงานของอาจารย์ปู่ของคนในวงการจากเด็กรุ่นใหม่ บิเอลซาไม่เคยปฏิเสธคนที่สนใจและใฝ่รู้อยู่แล้ว
7 วันที่ได้เข้าชมการซ้อมของลีลล์ เด แซร์บี ได้เคล็ดวิชามากมายจากบิเอลซา ซึ่งช่วยขัดเกลาทำให้เขากลายเป็นคนใหม่อย่างสิ้นเชิง และการเปลี่ยนแปลงนั้นเริ่มสังเกตได้จากโอกาสในการคุมทีมน้องใหม่ของเซเรียอาอย่างเบเนเวนโตในเดือนตุลาคม 2017
เบเนเวนโตภายใต้การคุมทีมของเขาแม้จะมีขุมกำลังที่ย่ำแย่ อ่อนแอแค่ไหน แต่เด แซร์บี ก็สร้างความประทับใจให้กับทุกคนด้วยสไตล์การเล่นที่ยอดเยี่ยม ฟุตบอลเกมรุกที่เน้นการครองเกมเป็นหลัก โดยที่ขุนพลในทีมก็เป็นนักเตะชุดเดิมๆ ที่ขึ้นมาจากเซเรียบี เพิ่มเติมคือนักเตะใหม่ 7 คนที่ขอให้สโมสรพยายามดึงตัวมากอบกู้สถานการณ์ของทีมในช่วงตลาดการซื้อ-ขายฤดูหนาว
ซานโดร อดีตมิดฟิลด์สเปอร์ส คือ 1 ใน 7 ผู้เล่นที่เด แซร์บี ขอให้ดึงตัวมาทีมเบเนเวนโตในเวลานั้น ด้วยการยืมตัวจากอันตาลายาสปอร์ สโมสรในตุรกี เล่าถึงการทำงานร่วมกับเด แซร์บี ว่า “เขาเป็นคนที่ฉลาดมาก และเป็นผู้จัดการทีมที่คิดถึงทุกรายละเอียดในเกม เขาจะคอยช่วยเหลือผู้เล่นและให้รายละเอียดว่าเราจะสามารถเล่นงานคู่แข่งตรงไหนได้บ้าง
“เบเนเวนโตอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างมาก แต่เด แซร์บี เลือกนักเตะบางคนที่จะทำให้ทีมดีขึ้น และผมเป็นหนึ่งในนั้น ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าผมจะได้พบกับหนึ่งในโค้ชที่ดีที่สุดในชีวิต การได้ทำงานร่วมกับเขาเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะผมได้เรียนรู้มากมายจากเขา และผมก็มีความสุขในการเล่นให้กับเขามาก ผมได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่”
ตามถ้อยคำของซานโดรแล้ว ความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้เล่นด้วยการใช้หัวใจแลกคือคุณสมบัติพิเศษของเด แซร์บี เขาทำให้นักฟุตบอลอยากเล่นเพื่อเขามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรู้ใหม่และจิตวิทยาในการคุมทีมที่ยอดเยี่ยม
เพราะสำหรับกุนซือผู้นี้ ทุกอย่างจะดีได้ก็ต่อเมื่อทุกคนทุ่มเทด้วยหัวใจเท่านั้น
ถึงเด แซร์บี จะไม่สามารถช่วยเบเนเวนโตให้รอดพ้นจากการตกชั้นได้ แต่ประกายของความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทำให้ซาสซูโอโลรีบคว้าตัวเขาไปร่วมทีม และเป็นอีกครั้งที่เขาเปลี่ยนแปลงทีมฟุตบอลทีมหนึ่งให้กลายเป็นทีมที่ดีขึ้นได้จากภายใน
ซาสซูโอโลกลายเป็นทีมที่ได้รับเสียงยกย่องอย่างมากภายในอิตาลี จากสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบของเด แซร์บี ฟุตบอลคอนโทรล สวยงาม เต็มไปด้วยไหวพริบ เล่นเกมรุก และสู้สุดหัวใจ และแน่นอนว่าการขึ้นบอลที่มีเพลย์เมกเกอร์อยู่ในแดนหลังอย่างเซ็นเตอร์ฮาล์ฟก็เริ่มตั้งแต่ตอนนั้น
ในฤดูกาล 2019/20 ซาสซูโอโลจบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับ 8 และเป็นทีมที่มีสถิติการครองเกมสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของเซเรียอา โดยครองเกมเฉลี่ย 59.5% ตลอดทั้งฤดูกาล มีเพียงแค่แชมป์อย่างอินเตอร์ มิลาน ภายใต้การนำของ อันโตนิโอ คอนเต ทีมเดียวที่เหนือกว่า
เด็ดกว่านั้นคือ ในช่วงเวลา 2 ฤดูกาลที่เขาอยู่กับซาสซูโอโล สามารถปั้นผู้เล่นขึ้นมา และทำให้สโมสรขายทำรายได้มากกว่า 150 ล้านยูโร! เพราะนอกจากความสามารถในการเป็นผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยมแล้ว เขายังมี ‘สายตา’ ที่มองขาดว่าใครคือดาวที่อยู่ในดิน
สองเด็กปั้นของเขาในทีมซาสซูโอโลคือ จาโคโม ราสปาโดรี ศูนย์หน้าดาวรุ่งที่กลายเป็นหนึ่งในดาวเด่นของวงการฟุตบอลอิตาลี เช่นเดียวกับ มานูเอล โลคาเตลลี ที่ตัดสินใจทิ้งเอซี มิลาน เพื่อมาค้นหาตัวเองภายใต้การชี้นำของเด แซร์บี ซึ่งปัจจุบันเขาก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับแถวหน้าของอิตาลี
ขณะเดียวกันถ้าเป็นนักเตะจากสโมสรอื่นที่เขาสนใจแล้ว เด แซร์บี ก็พร้อมที่จะเข้ามามีส่วนในการพิจารณาและเจรจาด้วย โดยเขาชอบศึกษานักเตะคนนั้นอย่างละเอียด ก่อนจะขอโอกาสในการพูดคุยกัน เพื่อจะเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เขาคิดจะทำในเวลานั้น และนักเตะคนนั้นจะเข้ามาอยู่จุดไหนในทีม
เรียกว่าทุกอย่างผ่านการคิดมาหมดแล้วตั้งแต่ต้น
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับไบรท์ตัน การเปลี่ยนแปลงทีมที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้วจากมรดกของ เกรแฮม พอตเตอร์ ให้กลายเป็นทีมที่ดียิ่งขึ้นไปอีก เล่นได้น่าดูมากขึ้นไปอีกระดับ สร้างสตาร์หน้าใหม่อย่าง คาโอรุ มิโตมะ ขัดเกลานักเตะอย่าง เพอร์วิส เอสตูปิญาน และ มอยเซส ไกเซโด และตอนนี้เหมือนจะพบดาวดวงใหม่อย่าง ฮูลิโอ เซซาร์ เอ็นซิโซ นั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ มันคือความสามารถที่แท้จริงของเขา
ไปจนถึงความเด็ดขาดในการตัดหางปล่อยวัด เลอันโดร ทรอสซาร์ด ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่สำคัญของไบรท์ตันในฤดูกาลนี้ เพราะเด แซร์บี แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและความสามารถในการทำให้ทีมดีขึ้นได้อีกโดยไม่จำเป็นต้องง้อสตาร์อันดับหนึ่งของทีม
คำชื่นชมจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่บอกว่า เด แซร์บี เป็นหนึ่งในโค้ชที่เก่งที่สุดในโลกอาจไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปจากความเป็นจริง
และการพาไบรท์ตันไปสู่เวทียุโรปเป็นครั้งแรกในรายการยูโรปาลีก ถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมในระดับที่หากเขาจะได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
สมญา ‘อัจฉริยะน้อย’ ไม่ได้เกินเลยไปจากความเป็นจริง โรแบร์โต เด แซร์บี คู่ควรกับมัน และวันข้างหน้าของเขาอาจหนีไม่พ้นสโมสรระดับท็อปของอังกฤษหรือของโลกอย่างแน่นอน
- เด แซร์บี เกิดที่เมืองเบรชชา ซึ่งเป๊ปเคยมาค้าแข้งถึง 2 ช่วงเวลาด้วยกัน
- ระบบการเล่นที่เด แซร์บี ชอบใช้คือ 4-3-3 หรือบางครั้งสามารถสลับเป็น 4-2-3-1 ได้
- นักเตะที่เคยเล่นให้เด แซร์บี เคยซ้อมแบบเหยาะแหยะด้วยเหตุผลว่า อยากเก็บแรงไว้เล่นในแมตช์จริงมากกว่า แต่ถูกตำหนิว่า ถ้าไม่เต็มที่ในการซ้อมจะเล่นดีได้อย่างไร เพราะผลงานในการแข่งก็คือผลผลิตจากการซ้อม!