เศรษฐกิจไทยในปี 2026 กำลังเผชิญภาวะ K-Shape Recovery อย่างชัดเจนที่สุดในรอบหลายทศวรรษ กลุ่มธุรกิจที่สามารถปรับตัวตามเทรนด์โลก มีนวัตกรรม และตอบโจทย์ความต้องการใหม่จะเติบโตก้าวกระโดด ขณะที่ธุรกิจแบบเดิมๆ ที่ไม่มีมูลค่าเพิ่มหรือถูกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลกจะดิ้นรนอย่างหนัก
กลุ่มธุรกิจดาวรุ่งอันดับหนึ่งคือ EV และแบตเตอรี่ ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลกจะขยายตัว 15% ในปี 2026 เป็น 24 ล้านคัน โดยจีนครองครึ่งหนึ่งของตลาด ความต้องการนิกเกิลสำหรับแบตเตอรี่จะเพิ่มขึ้น 13% สำหรับไทย นี่เป็นโอกาสทองที่จะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในอาเซียน โดยดึงดูดการลงทุนจากจีนและญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง BYD, Great Wall Motors, และ SAIC มาตั้งโรงงานในไทย ขณะที่ญี่ปุ่นอย่าง Toyota และ Honda ก็เร่งปรับกลยุทธ์สู่ EV ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยที่สามารถปรับตัวเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน EV จะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล โดยเฉพาะผู้ผลิตแบตเตอรี่ ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถยนต์
กลุ่มธุรกิจดาวรุ่งที่สองคือ Data Center และ Cloud Computing ซึ่งกำลังบูมจากการขยายตัวของ AI ความต้องการไฟฟ้าสำหรับ data center จะพุ่งขึ้น 165% ภายในปี 2030 จากปัจจุบัน Goldman Sachs ประเมินว่าโลกต้องลงทุนกว่า 720,000 ล้านดอลลาร์ในระบบสายส่งไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการนี้ สำหรับไทย มีโอกาสกลายเป็นศูนย์กลาง data center ในอาเซียน เนื่องจากมีต้นทุนไฟฟ้าที่แข่งขันได้ โครงสร้างพื้นฐานที่ดี และที่ตั้งยุทธศาสตร์ บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Google, Amazon AWS, และ Microsoft กำลังมองหาพื้นที่ตั้ง data center ในภูมิภาค ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบทำความเย็น ระบบรักษาความปลอดภัย และบริการ cloud จะเติบโตตามไปด้วย นอกจากนี้ ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นยังเปิดโอกาสให้ภาคพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และลม ที่ data center ต้องการพลังงานสะอาดเพื่อลด Carbon Footprint
กลุ่มธุรกิจดาวรุ่งที่สามคือ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและ Wellness ซึ่งไทยมีความได้เปรียบแข่งขันสูง ตลาดสหรัฐที่มีต้นทุนการรักษาพยาบาลสูงมากกำลังมองหาทางเลือกในการรักษาที่ต่างประเทศ (Medical Tourism) โรงพยาบาลไทยที่ได้มาตรฐานสากล ราคาที่ถูกกว่า 50-70% และบริการที่เป็นเลิศ จะดึงดูดชาวอเมริกันและยุโรปมาใช้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากตลาดยาลดความอ้วนอย่าง Ozempic และ Wegovy บูมในสหรัฐ ทำให้ความตระหนักในเรื่องสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น ไทยสามารถเสนอแพ็กเกจ wellness ที่ครบวงจร ตั้งแต่การตรวจสุขภาพ การรักษา ไปจนถึงการพักฟื้นและโปรแกรมลดน้ำหนักแบบองค์รวม ธุรกิจสปา โรงแรมเชิงสุขภาพ และคลินิกความงามจะได้ประโยชน์อย่างมาก
กลุ่มธุรกิจดาวรุ่งที่สี่คือ พลังงานหมุนเวียน ซึ่งกำลังก้าวเข้ามาเป็นพลังงานหลักของโลก รัฐบาลทั่วโลกผลักดันให้พลังงานสะอาดครอง 30% ของการผลิตไฟฟ้าโลกในปี 2026 จีนคนเดียวเพิ่มกำลังผลิตพลังงานลมและแสงอาทิตย์กว่า 300 กิกะวัตต์ ความต้องการนี้ผลักดันราคาโลหะเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 7% โดยเฉพาะนิกเกิลที่เติบโต 13%, ทองแดง และลิเธียม สำหรับไทย มีศักยภาพในการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และชีวมวล รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตแผงโซลาร์เซลล์และกังหันลม ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งระบบพลังงานหมุนเวียน การจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) และ Smart Grid จะเติบโตแรงในช่วง 5 ปีข้างหน้า
กลุ่มธุรกิจดาวรุ่งสุดท้ายคือ อาหารทะเลและเกษตรแปรรูปคุณภาพสูง ซึ่งตอบโจทย์เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังบูมทั่วโลก ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับอาหารออร์แกนิก ปลอดสารพิษ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไทยมีความได้เปรียบในการผลิตอาหารทะเลคุณภาพสูง เช่น กุ้ง ปลาทูน่า และหอยนางรม รวมถึงผลไม้เขตร้อน เช่น ทุเรียน มังคุด และมะม่วง ที่มีตลาดในจีนและญี่ปุ่นเติบโตแรง การยกระดับมาตรฐาน GAP, Organic และการแปรรูปเพิ่มมูลค่า เช่น อาหารกึ่งสำเร็จรูปแช่แข็งระดับพรีเมียม จะช่วยให้ผู้ส่งออกไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงที่ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อคุณภาพและความปลอดภัย
ในทางตรงกันข้าม มีธุรกิจหลายกลุ่มที่กำลังเผชิญความท้าทายหนัก กลุ่มแรกคือ อิเล็กทรอนิกส์ Low-Value ที่ใช้กำลังผลิตเพียง 63.1% และเสี่ยงโดนภาษี Transshipment สูงถึง 40% หากถูกจับได้ว่าเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีจีน-สหรัฐ กลุ่มนี้ต้อง upgrade สู่การผลิตสินค้ามูลค่าสูง เช่น semiconductor, sensor หรือ AI chips อย่างเร็ว มิฉะนั้นจะถูกแย่งตลาดโดยเวียดนามและอินเดีย
กลุ่มที่สองคือ ค้าปลีกและ FMCG ที่เผชิญกับผู้บริโภคที่ประหยัดมากขึ้น ยอดขายปลีกโลกโตเพียง 2% ความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยลดลงจากภาระหนี้ครัวเรือนและรายได้ที่ไม่เติบโต ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับกลยุทธ์เน้นสินค้าคุณภาพดีราคาสมเหตุสมผล และเพิ่มช่องทาง online
กลุ่มที่สามคือ อสังหาริมทรัพย์ ที่ยังคงซบเซาจากดอกเบี้ยที่ยังสูง กำลังซื้อที่อ่อนแอ และหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 87% ของ GDP แม้เราจะคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยลงมาที่ 0.75% ในปลายปี 2026 แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นตลาดให้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่จำนวนมากอาจต้องชะลอหรือปรับแผน
กลุ่มที่สี่คือ ส่งออกดั้งเดิม โดยเฉพาะสิ่งทอ ที่ไม่มีมูลค่าเพิ่ม แพ้การแข่งขันกับเวียดนามและบังกลาเทศอย่างหนัก การค้าโลกที่โตน้อยกว่า 2% ยิ่งทำให้การแย่งชิงตลาดรุนแรงขึ้น ผู้ส่งออกสิ่งทอไทยต้องยกระดับสู่ผ้าคุณภาพสูง เช่น ผ้าเทคนิคสำหรับกีฬา ผ้าทางการแพทย์ หรือผ้าแฟชั่นระดับพรีเมียม มิฉะนั้นจะอยู่รอดได้ยาก
กลุ่มสุดท้ายที่น่ากังวลที่สุดคือ การเงินขนาดเล็ก ที่ให้สินเชื่อ SME ซึ่งหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 10 แล้ว หนี้กู้เอกชนระดับ Non-Investment Grade มูลค่า 135,000 ล้านบาทจะครบกำหนดในปี 2025 ความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้สูงมาก ธนาคารและสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ ทำให้ SME ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนประสบปัญหาสภาพคล่อง หลายรายอาจต้องปิดกิจการ สถาบันการเงินขนาดเล็กที่มีสินเชื่อด้อยคุณภาพสูงเสี่ยงขาดทุนและอาจต้องควบรวมกิจการ
ในส่วนกลยุทธ์การปรับตัว บทความนี้ขอสรุปดังนี้
- ผู้ประกอบการในกลุ่มดาวรุ่งต้องเร่งขยายลงทุนและเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลก
- กลุ่มดาวร่วงต้อง upgrade เพิ่มมูลค่าหรือหมุนเปลี่ยนธุรกิจทันที
- นักลงทุนควรโฟกัสพอร์ตไปที่ EV, Data Center, Wellness Tourism, พลังงานหมุนเวียน และอาหารคุณภาพสูง
- รัฐบาลต้องสนับสนุนกลุ่มดาวรุ่งด้วยนโยบายที่เอื้อพร้อมช่วย Upskill/Reskill แรงงานในกลุ่มดาวร่วง
เพราะความสามารถในการจัดการ K-Shape Recovery และการเลือกลงทุนที่ถูกต้องในจังหวะนี้เท่านั้น ที่จะเป็นตัวกำหนดว่าเศรษฐกิจไทยจะก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้หรือไม่ในทศวรรษหน้า
ภาพ: sakchai vongsasiripat / Getty Images


