วันนี้ (29 กันยายน) ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำล่าสุดว่า จากอิทธิพลของ พายุไต้ฝุ่นบัวลอย (BUALOI) ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศลาว ร่วมกับร่องมรสุมกำลังแรงและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้น
ส่งผลให้ประเทศไทยมี ฝนตกหนักถึงหนักมาก ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จึงขอให้ประชาชนเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
เพื่อเตรียมพื้นที่ว่างไว้รองรับน้ำหลากที่อาจเพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของพายุดังกล่าว กรมชลประทานได้ประสานความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อนหลักแบบขั้นบันได
รายละเอียดการปรับเพิ่มการระบายน้ำ:
- เขื่อนสิริกิติ์ เพิ่มการระบายน้ำจากเดิม 10 ล้าน ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน เป็น 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
- เขื่อนภูมิพล เพิ่มการระบายน้ำจากเดิม 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
- เขื่อนอุบลรัตน์ ทยอยเพิ่มการระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ 30 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
- เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ คงอัตราการระบายน้ำที่ประมาณ 51 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
รายงานสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศพบว่า ปัจจุบันมีปริมาณน้ำรวมประมาณ 62,500 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือคิดเป็นร้อยละ 82 ของความจุอ่างฯ รวมทั้งหมด และยังสามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 13,900 ล้าน ลบ.ม.
สำหรับ 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำรวมประมาณ 21,624 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 87 ของความจุอ่างฯ และยังสามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 3,200 ล้าน ลบ.ม.
กรมชลประทานยืนยันว่าจะบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตาม เฝ้าระวังสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ท้ายน้ำให้ได้มากที่สุด