วานนี้ (16 พฤษภาคม) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ และพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ ระบุว่า
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ตามที่ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขโข) และ พระศรีคุณาภรณ์ (บุญทวี คำมา) ถูกกล่าวหาว่า กระทำการทุจริตและถูกดำเนินคดีอาญา และได้มีพระราชโองการถอดถอนสมณศักดิ์เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 นั้น
บัดนี้ ศาลมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีการทุจริตเบียดบังเอาเงินไปเป็นประโยชน์ของตน โดยพฤติการณ์ถือได้ว่าไม่ใช่ความผิดร้ายแรง และมิได้มีการเบียดบังทรัพย์เป็นของตน ประกอบกับไม่มีการกล่าวคำลาสิกขาและสละสมณเพศ
ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่ายังคงดำรงตนอย่างพระภิกษุโดยตลอดระหว่างถูกคุมขัง จึงมีสภาวะเป็นพระภิกษุ มีสถานะเป็น พระธงชัย สุขญาโณ และ พระมหาบุญทวี ปญฺญาวํโส ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติรับทราบแล้ว เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2561 จึงทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาสมณศักดิ์ และพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ ดังนี้
- ให้ พระธงชัย สุขญาโณ ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมสิทธิ กิตติธรรมประยุต วิสุทธิศีลาจาร สุวิธานวรกิจจานุกิจ วิสิฐวิเทศศาสนวราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร
- ให้ พระมหาบุญทวี ปญฺญาวํโส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ มีนามว่า พระศรีคุณาภรณ์ โดยให้ถือว่าไม่เคยถูกถอดถอนสมณศักดิ์และราชทินนามมาก่อน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ประกาศ ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2567 เป็นปีที่ 9 ในรัชกาลปัจจุบัน
สำหรับพระพรหมสิทธิ ก่อนหน้านี้ตกเป็นข่าวปมเงินทอนวัด โดยถูกศาลอาญาออกหมายจับในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน จากการทุจริตงบประมาณเงินอุดหนุนเผยแผ่พระพุทธศาสนากว่า 32 ล้านบาท และยังมีงบประมาณอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรม และเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตั้งแต่ปี 2557-2559 เป็นเงินกว่า 47 ล้านบาท
โดยท่านเข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดี ศาลมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่ปรากฏว่าทุจริตเบียดบังเอาเงินไปเป็นประโยชน์ของตน โดยพฤติการณ์ถือได้ว่าไม่ใช่ความผิดร้ายแรง และมิได้เบียดบังทรัพย์เป็นของตน ประกอบกับไม่มีการกล่าวคำลาสิกขาและสละสมณเพศ