กระทรวงทหารบกสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานประเมินอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งเชื่อว่าเกาหลีเหนืออาจมีระเบิดนิวเคลียร์อยู่ในครอบครองตั้งแต่ 20-60 ลูก และมีคลังอาวุธเคมีขนาดใหญ่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก จำนวนรวมมากถึง 5,000 ตัน
รายงานดังกล่าวเผยแพร่เมื่อเดือนที่ผ่านมาในชื่อ ‘ยุทธวิธีเกาหลีเหนือ’ โดยเนื้อหารายงานระบุว่า รัฐบาลเปียงยางยังไม่ยอมสละอาวุธเหล่านี้เพื่อรับประกันความอยู่รอดของตนเอง
“จากการประมาณการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ คาดว่ามีระเบิดนิวเคลียร์ตั้งแต่ 20-60 ลูก และมีศักยภาพผลิตได้ใหม่ 6 ลูกในแต่ละปี” กองทัพสหรัฐฯ ระบุ พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงรายงานบางฉบับที่ชี้ว่า รัฐบาลเกาหลีเหนือสามารถจัดหาระเบิดนิวเคลียร์มาเก็บสะสมเพิ่มถึง 100 ลูกได้ภายในสิ้นปีนี้
ข้อมูลในรายงานยังระบุสาเหตุที่เกาหลีเหนือแสวงหาอาวุธนิวเคลียร์มากมาย เนื่องจากบรรดาผู้นำในรัฐบาลเกาหลีเหนือเชื่อว่าภัยคุกคามจากการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์จะช่วยป้องกันไม่ให้ประเทศอื่นๆ เข้าแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงอำนาจของรัฐบาลเผด็จการเกาหลีเหนือ ขณะที่ คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ได้เห็นกรณีตัวอย่างในการโค่นอำนาจ พ.อ. มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ทำให้เขาไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์คล้ายกันขึ้นในเกาหลีเหนือ
สำหรับการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ เรื่องการยุติโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือนั้นหยุดชะงักไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมา ภายหลังการประชุมสุดยอดผู้นำครั้งที่ 2 ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และคิมจองอึน ที่กรุงฮานอยของเวียดนาม ประสบความล้มเหลว
นอกจากนี้รายงานยังประเมินว่า รัฐบาลเปียงยางครอบครองอาวุธเคมีกว่า 20 ชนิด ไว้ราว 2,500-5,000 ตัน ซึ่งถือเป็นประเทศที่ครอบครองอาวุธเคมีขนาดใหญ่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีความเป็นไปได้สูงที่กองทัพเกาหลีเหนือจะใช้กระสุนปืนใหญ่ชนิดบรรจุสารเคมี
ขณะที่เกาหลีเหนือยังทำการวิจัยและพัฒนาอาวุธชีวภาพด้วยเช่นกัน และมีความเป็นไปได้ที่อาจมีการนำเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคแอนแทรกซ์และไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคไข้ทรพิษมาเป็นอาวุธ โดยสามารถติดตั้งในหัวรบนิวเคลียร์เพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรู อย่างเกาหลีใต้ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
“เพียง 1 กิโลกรัมของเชื้อแอนแทรกซ์ ก็สามารถสังหารประชาชนในกรุงโซลได้กว่า 50,000 คน” รายงานระบุ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
