เพียงไม่กี่นาทีของการขึ้นกล่าวถ้อยแถลงต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ ของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดวอลล์สตรีทก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนทันที เนื่องจากถ้อยแถลงของพาวเวลล์ได้กำหนดกระบวนทัศน์ใหม่สำหรับมุมมองของธนาคารกลางในเส้นทางนโยบายของตน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและเป็นระยะเวลานานขึ้น หลังจากที่ข้อมูลสัญญาณเศรษฐกิจในเดือนมกราคมยังคงแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง แม้ว่า Fed จะพยายามชะลอการเติบโตก็ตาม
ดังนั้น ผลที่ตามมาก็คือการแห่เทขายหุ้นของนักลงทุน ซึ่งฉุดให้ตลาดตลอดทั้งสัปดาห์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เพิ่งจะมีแววฟื้นได้ไม่นาน เหตุผลหลักเป็นเพราะท่าทีของพาวเวลล์ได้ทำลายความหวังของนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่า Fed จะมีโอกาสชะลอหรือยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
รายงานระบุว่า ขณะนี้ตลาดคาดหวังอย่างยิ่งว่า Fed จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนมีนาคม มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปีนี้จะทำให้หุ้นขึ้นเกือบ 5.75%
อย่างไรก็ตาม พาวเวลล์ยืนยันว่า ทุกความเคลื่อนไหวของ Fed จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจในเวลานั้นๆ และ Fed พร้อมที่จะยืดหยุ่นต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายใดๆ โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อปรับลดเงินเฟ้อ และให้กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมให้น้อยที่สุด
ด้านทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ (9 มีนาคม) ปิดตลาดปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเจอแรงฉุดจากหุ้นในกลุ่มภาคการเงินการธนาคาร หลังจากตลาดรับทราบท่าทีของพาวเวลล์ที่จะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ และอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJI) ปรับตัวลดลง 543.54 จุด หรือ 1.66% ปิดที่ 32,254.86 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 73.69 จุด หรือ 1.85% ปิดที่ 3,918.32 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 237.65 จุด หรือ 2.05% ปิดที่ 11,338.35 จุด
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม ทำให้ Dow Joes ปิดตลาดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน ขณะที่นับตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าดัชนี S&P จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.05% และดัชนี Nasdaq ขยับเพิ่มขึ้น 8.33% แต่ทั้งสองดัชนีก็ประสบภาวะขาดทุนรายสัปดาห์ราว 3% หรือมากกว่านั้น
อดัม ซาร์ฮัน ซีอีโอของ 50 Park Investments กล่าวว่า ความเห็นของพาวเวลล์ล่าสุดได้เปลี่ยนความคาดหวังของนักลงทุน ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนให้หุ้นวอลล์สตรีทขยับขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคมที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ตลาดขยับขึ้นเพราะคาดว่า Fed จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วสุดในช่วงฤดูร้อนที่จะถึงนี้ แต่สุดท้ายแล้ว พาวเวลล์ก็ออกมายืนยันว่า ไม่ว่าอย่างไรในปีนี้ Fed ก็จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ซึ่งสวนทางกับความเชื่อก่อนหน้า
ซาร์ฮันยอมรับว่า ขณะนี้ไม่มีข้อมูลใดที่บ่งชี้ว่า Fed ควรหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเสริมว่านักลงทุนส่วนใหญ่ในเวลานี้ต่างเฝ้ารอข้อมูลแรงงานสหรัฐฯ ที่จะรายงานในวันศุกร์ที่ 10 มีนาคมนี้ โดยท่ามกลางความไม่แน่นอนเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นักลงทุนจะเทขายหุ้นและหันมามองหามูลค่าในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ
นักเศรษฐศาสตร์บางคนรวมถึงที่ Citi คาดว่ารายงานข้อมูลตลาดงานในวันศุกร์นี้จะขยับตัวสูงขึ้นกว่าเดือนมกราคมก่อนหน้า แต่การเติบโตของงานที่แข็งแกร่งอาจหมายถึงข่าวร้ายสำหรับตลาด โดย อเล็กซ์ ซอนเดอร์ส นักยุทธศาสตร์การวิจัยของ Citi กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวดีที่เป็นข่าวร้ายสำหรับตลาด มีโอกาสที่นักลงทุนจะเทขายหุ้นครั้งใหญ่ เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวสนับสนุนให้ Fed เดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ความมั่งคั่งจากหุ้นของชาวอเมริกันหายไปกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ จากที่เคยเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวหลังวิกฤตโควิด
- ตามคาด ‘Fed’ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นต่อ หวังคุมเงินเฟ้อให้อยู่หมัด
- นักวิเคราะห์ชี้พิษนโยบาย Fed เป็นเหตุทำตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วน
อ้างอิง: