หลังจากที่การกระจายวัคซีนของไทยเริ่มทำได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลล่าสุด มีการฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 5 ล้านโดส ดังนั้นในมุมของการลงทุนจะเห็นว่าธุรกิจที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการกลับมา ‘เปิดประเทศ (Reopening)’ ได้รับการพูดถึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนราคาของหุ้นบางตัวที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากธีมนี้ปรับขึ้นมาต่อเนื่องในระดับหนึ่งแล้ว
“ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจในปัจจุบันเดินมาถึงช่วง ‘Mid Cycle’ หลังจากช่วงแรกเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่นเป็นกลุ่มที่นำขึ้นมาก่อน แต่ในช่วงระยะกลางนี้นักลงทุนจะเริ่มสลับออกจากกลุ่มเหล่านี้เข้าหาหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศเป็นหลัก” วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล.บัวหลวง ฉายภาพรวมเกี่ยวกับภาพการลงทุนในปัจจุบัน
ทั้งนี้ หากจะแบ่งหุ้นเป็นกลุ่มๆ ตามธีมรีโอเพนนิงอาจแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
- กลุ่มการเงิน ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้การชำระคืนหนี้ต่างๆ จะเริ่มกลับมาเป็นปกติ และตัวเลข NPL จะเริ่มลดลง และผู้คนจะกลับมาทำงานได้มากขึ้น
- กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่น่าจะฟื้นตัวได้ดี และกำไรมีโอกาสจะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการกระจายวัคซีนในต่างประเทศทำได้มากขึ้น จะช่วยให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยได้มากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการได้ระบายสต๊อกเดิมออกไปมากแล้ว ทำให้โครงการใหม่จะช่วยให้บริษัทมีอัตรากำไรมากขึ้น
- กลุ่มสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงไฟฟ้า สนามบิน ทางด่วน ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการที่อัตราเงินเฟ้อและบอนด์ยีลด์จะเริ่มนิ่ง ทำให้ต้นทุนทางการเงินของกลุ่มเหล่านี้จะเริ่มชะลอตัวลง
- กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะเริ่มเห็นการรีโนเวตสถานที่ของธุรกิจต่างๆ เพื่อเตรียมรับกับการเปิดประเทศ
“จริงๆ แล้วหุ้นในธีมรีโอเพนนิงหลายตัวราคาขยับขึ้นมาสูงแล้ว จึงควรจะเลือกหุ้นที่ยังมีมูลค่าไม่สูงมาก โดยอาจพิจารณาจากราคาปัจจุบันเทียบกับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value) ซึ่งจะเห็นว่าหุ้นหลายตัวที่พักตัวมาระดับหนึ่งอาจยังมีราคาต่ำกว่า Book Value หรือยังสูงกว่าไม่มาก เช่น GPSC, SIRI”
ด้าน สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย มองว่าหุ้นในธีมรีโอเพนนิงที่ยังมีความน่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุน สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
- กลุ่มขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นทั้งหุ้นที่ให้บริการขนส่งโดยตรง เช่น BTS, BEM หรือกลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อม คือเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ เช่น SPRC ซึ่งเราเริ่มเห็นเทรนด์นี้จากต่างประเทศแล้ว และส่วนต่างราคาของแก๊สโซลีนก็ปรับตัวขึ้นมาเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว
ขณะที่ส่วนต่างราคาของดีเซลและน้ำมันอากาศยาน ยังไม่ได้กลับมาเท่ากับช่วงปกติ นอกจากนี้จะเห็นว่าราคารถยนต์มือสองปรับขึ้นมาแรงถึง 30% จากปีก่อน จากการที่คนส่วนใหญ่ยังเลี่ยงการเดินทางสาธารณะ
- กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะเริ่มได้ประโยชน์จากการชาวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามาในประเทศมากขึ้น ซึ่งในส่วนของนิคมอุตสาหกรรม ยังมีแรงหนุนเฉพาะตัวจากการที่บริษัทจากจีนย้ายฐานการผลิตมายังไทยและเวียดนามมากขึ้น เพื่อเลี่ยงปัญหาสงครามการค้า ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลจะเริ่มมีลูกค้าต่างชาติกลับมา ขณะที่กลุ่มห้างสรรพสินค้าจะได้ประโยชน์จากการที่ส่วนลดค่าเช่าพื้นที่ค่อยๆ ลดลง
- กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นหลังจากแบงก์ชาติอนุญาตให้กลับมาจ่ายปันผลได้ ขณะที่การทยอยเปิดประเทศจะช่วยให้กลุ่มธนาคารเริ่มฟื้นตัวกลับมาตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึงระดับ -2SD
“ธีมรีโอเพนนิงในรอบนี้จะเป็นธีมใหญ่ ซึ่งเราเห็นตัวอย่างจากในสหรัฐฯ ซึ่งหุ้นกลุ่มเหล่านี้เริ่มปรับขึ้นได้หลังจากสหรัฐฯ กระจายวัคซีนได้ราว 10% ของประชากร และราคาหุ้นเหล่านี้ยังเล่นไปจนถึงช่วงที่วัคซีนกระจายได้ 30% ซึ่งในปัจจุบันราคาของหุ้นเหล่านี้ก็ยังสามารถยืนอยู่ เชื่อว่าภาพเช่นนี้จะเกิดขึ้นในไทยเช่นกัน โดยน่าจะเริ่มต้นได้ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมนี้”
ในเชิงกลยุทธ์เชื่อว่าภาพรวมของตลาดหุ้นอาจจะมีการพักฐานเล็กน้อยช่วงปลายเดือนมิถุนายน แต่เชื่อว่าจะไม่หลุด 1,600 จุด ก่อนจะมีโอกาสฟื้นตัวกลับไปหาระดับ 1,680 จุด ขณะที่หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า และขนส่ง จะสลับกันเล่น ขณะที่กลุ่มธนาคารน่าจะเป็นกลุ่มหลักที่โดดเด่นสุด
ด้าน ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่าหุ้นในธีมรีโอเพนนิงอาจแยกได้เป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่
- กลุ่มที่อิงกับการท่องเที่ยว อย่างโรงแรม สนามบิน สายการบิน จะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรงทันที แต่หุ้นบางตัวอาจจะปรับขึ้นมาค่อนข้างสูงแล้ว เพราะฉะนั้นควรจะเลือกหุ้นที่ยังปรับขึ้นมาไม่มากนัก
- กลุ่มศูนย์การค้า จะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ถัดมา หลังจากที่ผู้คนเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
- กลุ่มขนส่งมวลชน เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่จะได้ประโยชน์จากการสัญจรที่มากขึ้น หลังจากกลับมาเปิดประเทศได้ตามปกติ
- กลุ่มร้านอาหาร จะเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติที่สามารถเปิดให้บริการได้เต็มที่
- กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นกลุ่มท้ายสุดที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ เพราะส่วนหนึ่งต้องเริ่มให้เศรษฐกิจโดยภาพรวมฟื้นตัวก่อน
“ในระดับนี้เชื่อว่าเป็นจุดที่นักลงทุนสามารถทยอยเข้าสะสมหุ้นในธีมรีโอเพนนิงได้ ซึ่งจะเริ่มเห็นหุ้นเหล่านี้เริ่มโดดเด่นขึ้นมาได้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนนี้ หลังจากที่การกระจายวัคซีนทำได้มากขึ้น และราคาของหุ้นหลายตัวในกลุ่มนี้ยังคงต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิมของการฟื้นตัวในรอบที่ผ่านมา ถือว่ายังน่าสนใจเข้าซื้อ”