เปิดต้นปี 2563 เศรษฐกิจไทยมีปัจจัยเสี่ยงและเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นหลายอย่าง ทั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ข่าวงบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้าและมีทีท่าจะลากยาวไปอีกสักพัก รวมถึงปัญหาภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี นอกจากภาครัฐจะออกมาตรการมาช่วยเหลือ ฝั่งผู้กำกับภาคการเงินอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1% ต่อปี ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ เรื่องนี้จะส่งผลต่อประเทศไทยอย่างไร
- 5 กุมภาพันธ์ 2563 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี เหลือ 1% ต่อปี ถือว่าต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 2543 ที่ไทยเริ่มใช้ Inflation Targeting (กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น)
- กนง. เลือกลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 อาจจะโตต่ำกว่า 2.8% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เพราะมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการระบาดของไวรัสโคโรนา งบประมาณปี 2563 ล่าช้า และภัยแล้ง
- กนง. ระบุว่าการลดดอกเบี้ยฯ เป็นการทำนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อเสริมสภาพคล่อง (เชิงธุรกิจ) ให้เอสเอ็มอีครัวเรือน และการปรับโครงสร้างหนี้ภาคธุรกิจให้ดีขึ้น
- กนง. ย้ำว่ามาตรการการเงินและมาตรการการคลังต้องทำควบคู่กันไป และทำแบบจริงจัง ซึ่งต่อไปจะเข้าหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการออกมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม จากก่อนหน้านี้ที่มีมาตรการผ่อนคลายการลงทุนร่วมกับ คปภ. และกระทรวงการคลังที่มีมาตรการผ่อนคลายให้ผู้ส่งออกเก็บเงินในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
- ก่อนหน้านี้ทั่วโลกรวมถึงไทยอยู่ในภาวะอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ โดยปัจจุบันผลตอบแทนพันธบัตรไทย (Yield Curve) อายุ 10 ปี ลดลงมาอยู่ที่ 1.3% ต่อปี ดังนั้นเมื่อ กนง. ลดดอกเบี้ย มีโอกาสที่ Yield Curve จะลดลงอีก
- ด้านค่าเงินบาท เมื่อลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง โดยปัจจุบัน (5 กุมภาพันธ์ เวลา 15.36 น.) ค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.04 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
- ส่วนรายย่อยต้องจับตามองว่าธนาคารพาณิชย์จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. อย่างไร
- ทั้งนี้ในอดีต หลังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. รอบสิงหาคม 2562 ราคาหุ้นธนาคารในตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เพราะนักลงทุนกังวลว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ซึ่งเป็นรายได้หลักของธนาคารจะปรับลดลง
