ศึกฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 เมื่อเช้าวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมาตามเวลาในไทย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ในสถานการณ์ที่เตรียมเดินทางไปแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่กรุงปารีสกับลิเวอร์พูล ด้วยประตูของ ริยาด มาห์เรซ ในนาทีที่ 73 บวกกับประตูที่พวกเขาเอาชนะ เรอัล มาดริด ในเกมแรกไป 4-3 ทำให้มีสกอร์รวม 2 เกมนำห่างถึง 5-3
แต่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เรอัล มาดริด ก็ตอกย้ำอีกครั้งว่าทำไมพวกเขาถึงได้แชมป์รายการนี้ไปแล้วถึง 13 สมัย ด้วยการยิงถึง 2 ประตู โดยเริ่มจากนาทีที่ 90 โรดริโก ยิงประตูไล่ขึ้นมาเป็น 1-1 ในเกมนี้ ตามด้วยประตูที่ 2 ในนาทีต่อมา ขึ้นนำเป็น 2-1 ในเกมนี้ และมีสกอร์เสมอกันที่ 5-5 จนต้องไปตัดสินใจกันในช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
ก่อนที่ คาริม เบนเซมา จะยิงจุดโทษเข้าประตูในนาทีที่ 95 ทำให้พวกเขาเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไป 3-1 ในเกมนี้ สกอร์รวม 6-5 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับ ลิเวอร์พูลที่เอาชนะบียาร์เรอัลมาในรอบรองชนะเลิศเช่นกัน
“ผมบอกไม่ได้ว่าเราคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่เชลซี และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง” คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือเรอัล มาดริด ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นกุนซือคนแรกที่คว้าแชมป์ลีกยุโรปได้ครบทั้ง 5 ลีกกล่าวหลังเกม
“ถ้าคุณถามว่าเพราะอะไร ผมก็ต้องบอกว่าเพราะประวัติศาสตร์ของสโมสรแห่งนี้ที่ช่วยเราให้เดินหน้าต่อไปในช่วงที่เราดูเหมือนจะหมดหนทาง
“เกมนี้เกือบจะจบลงแล้ว แต่เราหาทางดึงเอาพลังชุดสุดท้ายที่เรามี เราเล่นเกมที่ดีกับทีมที่แข็งแกร่ง ตอนที่เราตีเสมอได้ เราสร้างความได้เปรียบทางด้านจิตใจในช่วงต่อเวลาพิเศษ
“ผมมีความสุขกับการเข้าชิงฯ ที่ปารีสกับอีกทีมที่ยิ่งใหญ่ เราคุ้นเคยกับเรื่องราวแบบนี้ และเชื่อว่าเกมรอบชิงฯ จะเป็นเกมฟุตบอลยอดเยี่ยมอีกเกม”
ด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่ผิดหวังในการพาเรือใบสีฟ้าเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ยอมรับว่าฟุตบอลเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แต่พวกเขาต้องยอมรับมันให้ได้
“เป็นสิ่งที่เรียบง่ายมาก ครึ่งแรกเราไม่มีเกมของเรา เราดีไม่พอ แต่เราก็ไม่ได้มีผลเสียอะไร หลังจากเรายิงประตูได้ เราก็กำลังไปในทางที่ดีขึ้น เราเริ่มหาจังหวะของตัวเองได้ และเกมของเราก็เริ่มเข้าที่ขึ้น
“ไม่เหมือนกับช่วง 10 นาทีสุดท้ายที่พวกเขาโจมตีอย่างต่อเนื่อง และทำให้เราต้องทรมาน พวกเขามีนักเตะเข้ามาในกรอบเขตโทษเราเยอะมาก จนทำได้ 2 ประตู
“เราไม่ได้เล่นดีที่สุด แต่เป็นเรื่องปกติ ในรอบรองชนะเลิศนักเตะย่อมรู้สึกกดดันและต้องการที่จะชนะ ฟุตบอลคาดเดาไม่ได้ ในเกมแบบนี้เราต้องยอมรับมัน
“ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำคือเรียนรู้และกลับมาที่บ้านของเรา เพื่อเดินหน้าทำผลงานที่ดีในช่วงเวลา 4 เกมที่เราเหลือตอนนี้”
อ้างอิง: