วันนี้ (29 พฤษภาคม) ตามเวลาประเทศไทย เป็นการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ระหว่างลิเวอร์พูล เจ้าของแชมป์ยุโรป 6 สมัย พบกับเรอัล มาดริด เจ้าของแชมป์ยุโรป 13 สมัย ที่สตาดเดอฟรองซ์ สนามกีฬาแห่งชาติของประเทศฝรั่งเศส
โดยเกมนี้ เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือลิเวอร์พูล ส่ง ติอาโก อัลกันตารา ลงคุมแดนกลางร่วมกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ
ส่วน 3 ประสานในแดนหน้าเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และ หลุยส์ ดิอาซ
ฝั่งของเรอัล มาดริด เป็น ลูกา โมดริช, กาเซมิโร และ โทนี โครส ในแดนกลาง และกองหน้าเป็น เฟเดริโก วัลเวร์เด, คาริม เบนเซมา และ วินิซิอุส จูเนียร์
.
ก่อมเกมเริ่มเกิดปัญหาการเข้าสนามของแฟนบอล จนต้องดีเลย์คิกออฟจากเวลา 02.00 น. ไปเป็น 02.36 น.
เกมช่วง 10 นาทีแรกผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยลิเวอร์พูลเพรสสูงใส่จนมาดริดต่อบอลสั้นกันอย่างยากลำบาก ต้องอาศัยโยนบอลยาวที่แม่นยำ แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถสร้างโอกาสเข้าทำประตูได้
นาทีที่ 15 ลิเวอร์พูลได้โอกาสลุ้นประตูถึง 2 ครั้งจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่สะกิดบอลพุ่งไปทางประตู แต่ ติโบต์ กูร์ตัวส์ ผู้รักษาประตูมาดริดยังเซฟได้ ต่อด้วยติอาโกที่ปั่นจากนอกกรอบ แต่กูร์ตัวส์ก็รับบอลได้เช่นกัน
นาทีที่ 20 มาเนได้โอกาสยิงครั้งแรกของเกม แต่ยังติดเซฟของกูร์ตัวส์ ยังไม่ได้ประตูขึ้นนำ
40 นาทีแรก ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายครองเกมได้มากกว่า สร้างโอกาสยิงประตูได้ถึง 10 ครั้ง ขณะที่เรอัล มาดริด ไม่มีโอกาสได้ยิงประตูเลยสักครั้งเดียว
แต่นาทีที่ 43 มาดริดได้โอกาสยิงประตูแรกจากจังหวะที่เบนเซมายิงลูกบอลที่โดนฟาบินโญสกัดมาเข้าทางและยิงเข้าประตูไป แต่หลังจากเช็กกับ VAR แล้ว ตัดสินให้เป็นจังหวะล้ำหน้า สกอร์ยังเสมอกัน 0-0 จนจบครึ่งแรก
ครึ่งหลัง เรอัล มาดริด ได้โอกาสยิงครั้งแรกในนาทีที่ 58 แล้วกลายเป็นประตูขึ้นนำจากการผ่านบอลของวัลเวร์เดที่จ่ายตัดทุกคนมาพบกับวินิซิอุสยิงเข้าประตู พามาดริดขึ้นนำไปก่อน 1-0
นาทีที่ 64 ลิเวอร์พูลปรับทัพส่ง ดีโอโก โชตา ลงมาแทนดิอาซ ก่อนจะส่ง นาบี เกอิตา และ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ลงมาแทนเฮนเดอร์สันและติอาโกในช่วง 15 นาทีสุดท้าย
ช่วงท้ายเกมลิเวอร์พูลยังคงสร้างโอกาสยิงอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นกูร์ตัวส์ที่โชว์ฟอร์มเซฟอย่างต่อเนื่อง และปฏิเสธประตูตีเสมอของลิเวอร์พูล
ครบ 90 นาที ไม่มีประตูเกิดขึ้นอีก ส่งผลให้เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 1-0 คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 14 ไปครองได้สำเร็จ