“วิธีการทั้งหมดทำตรงสิ่งแวดล้อมรอบๆ เลย เช่น ตัดต้นไม้มาเป็นเชื้อเพลิงในการเผา เพราะฉะนั้น มันก็คือการทำลายพื้นที่ป่าในบริเวณในการทำแร่หายาก ซึ่งผลกระทบมันคุมไม่ได้ เพราะไม่มีระบบป้องกันหรือประกันทั้งในแง่ผลกระทบหรือการรั่วไหลได้”
ธารา บัวคำศรี อดีตผู้อำนวยการกรีนพีซประเทศไทย ให้ความเห็นต่อประเด็นความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ MOU แรร์เอิร์ธ ไทย-สหรัฐฯ ที่นำมาซึ่งคำถามตัวโตๆ ว่า
“ไทยจะได้ผลประโยชน์อะไร” และโครงการเกี่ยวกับแรร์เอิร์ธ ภายใต้ MOU ฉบับนี้ โดยเฉพาะการทำเหมือง ประเทศไทยพร้อมแค่ไหน และมันจะสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างไร?
แรร์เอิร์ธสร้างผลกระทบอย่างไร
แรร์เอิร์ธเป็นกลุ่มธาตุหายาก 17 ธาตุ ได้แก่ สแกนเดียม (Scandium), อิตเทรียม (Yttrium), แลนทานัม (Lanthanum), ซีเรียม (Cerium), โพรมีเทียม (Promethium), เพรซีโอดิเมียม (Praseodymium), นิโอดิเมียม (Neodymium), ซาแมเรียม (Samarium), ยูโรเพียม (Europium), แกโดลิเนียม (Gadolinium), เทอเบียม (Terbium), ดิสโพรเซียม (Dysprosium), โฮลเมียม (Holmium), เออร์เบียม (Erbium), ทูเลียม (Thulium), อิตเทอร์เบียม (Ytterbium) และ ลูทีเทียม (Lutetium)
คุณสมบัติพิเศษของแรร์เอิร์ธ คือ ทนความร้อนสูง นำไฟฟ้าได้ดี และเป็นทรัพยากรจำกัด เพราะมีขั้นตอนการสกัดและแปรรูปยาก ซึ่งต้องใช้ต้นทุน และเทคโนโลยีขั้นสูง อีกทั้งยังเป็นวัตถุดิบสำคัญในหลายอุตสาหกรรม เช่น การป้องกันประเทศ, การบิน, อวกาศ, พลังงานสีเขียว, การแพทย์ ไปจนถึงเทคโนโลยี AI
ธาราอธิบายว่า โดยทั่วไป แร่หายากแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แร่หายากหนัก (Heavy Rare Earth) และแร่หายากเบา (Light Rare Earth) ซึ่งปัจจัยที่ทำให้แร่ทั้ง 2 ประเภท มีความแตกต่างกัน คือ วิธีการทำเหมือง และชนิดของทางธรณีวิทยา
1. แร่หายากหนัก ผลิตด้วยการใช้วิธีการ ‘เปิดหน้าดิน’ โดยขุดหน้าดินลงไป ใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์มาบดย่อยเพื่อแยกแร่ออก จากนั้นจึงทิ้งหางแร่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือจากการสกัดแร่ แล้วนำไปไว้ในอ่างเก็บตะกอนที่สร้างด้วยการขุดหน้าดินลงไป และทิ้งหางแร่ไว้
2. แร่หายากเบา ผลิตด้วยการ ‘อัดสารเคมี’ ลงไปในภูเขาหรือดิน และสกัดด้วยการ ‘ชะละลายภูเขา’ โดยใช้ท่อ PVC ฝังในภูเขา และดูดน้ำขึ้นมาจากดิน ซึ่งใช้สารแอมโมเนียมซัลเฟต (Ammonium Sulfate) อัดไปตามท่อ เพื่อละลายแร่ที่ปนกับดิน แต่ขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่า คือ การนำตะกอนดิน ซึ่งมีลักษณะเหมือนแป้งเปียก และมีประจุนำไฟฟ้า จากการชะละลายไปเผาต่อ
อดีตผู้อำนวยการกรีนพีซอธิบายว่า จากขั้นตอนดังกล่าว ทำให้การผลิตแรร์เอิร์ธสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปนเปื้อนกากของเสียจากหางแร่ ซึ่งมีสารประกอบทั้งโลหะหนัก กัมมันตรังสีในระดับต่ำ ไปจนถึงกรดสารเคมีจากการแยกแร่
กรณีศึกษาที่ธาราหยิบยกขึ้นมา คือ ประเทศจีน หลังสารปนเปื้อนซึมไปในน้ำใต้ดิน จนเกิดปัญหากับแม่น้ำเหลือง แม่น้ำสายใหญ่ของจีน ที่ทางการต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานนับ 10 ปี ซึ่งยังไม่รวมกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ จากขั้นตอนการผลิต
“วิธีการทั้งหมดทำตรงสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เลย เช่น ตัดต้นไม้มาเป็นเชื้อเพลิงในการเผา เพราะฉะนั้น มันก็คือการทำลายพื้นที่ป่าในบริเวณในการทำแร่หายาก ซึ่งผลกระทบมันคุมไม่ได้ เพราะไม่มีระบบป้องกันหรือประกันทั้งในแง่ผลกระทบหรือการรั่วไหลได้
“เหมืองแร่ทุกชนิดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลก มันมีผลกระทบหมด แต่สิ่งที่จะช่วยได้ คือ กรอบกฎหมาย”
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมขยายความว่า แม้สหรัฐฯ จะมีความเข้มงวดและรัดกุมเรื่องกระบวนการขุดทรัพยากร ซึ่งเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตแรร์เอิร์ธของสหรัฐฯ แพง และราคาแร่หายากสูงมาก จนไม่สามารถแข่งขันกับจีนได้ แต่เมื่อยกกระบวนการทำเหมืองแร่ของสหรัฐฯ มาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัญหาอาจเกิดขึ้น เพราะหลายประเทศยังมีปัญหาด้าน ‘มาตรฐานต่างระดับ’
“เรายังไม่มีความพร้อมรับมือผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองแร่หายากที่มีการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีในระดับต่ำ” อดีตผู้อำนวยการกรีนพีซอธิบาย
ข้อสังเกต MOU แร่ธาตุสำคัญสหรัฐฯ – ไทย
ธารามองว่า MOU ดังกล่าว ไม่ได้มีผลกระทบระยะสั้น และสาระสำคัญไม่ใช่การเปิดทางสำรวจแร่หายากในไทยดังที่หลายคนเข้าใจ แต่ประเด็นหลักเป็นเรื่องของการเปิดทางให้มีการค้า การลงทุน หรือเก็บข้อมูลระหว่าง 2 ประเทศ กล่าวคือ MOU คือการเปิดประตูให้บริษัทหรือหน่วยงานสัญชาติอเมริกันที่เกี่ยวกับแร่ เข้ามาทำบางอย่างอะไรในประเทศไทย ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้ระบุไว้ใน MOU และต้องจับตาดูกันต่อไป
นอกจากนี้ อดีตผู้อำนวยการกรีนพีซยังตั้งข้อสังเกตส่วนสุดท้ายใน MOU ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่า บันทึกความเข้าใจฯ นี้ไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย แต่หมายเหตุไว้ว่า สิ่งใดที่เกิดขึ้นก่อนหน้า MOU จะยกเลิก จะยังมีผลต่อไป
“เช่น มีการลงทุนของสหรัฐฯ ในประเทศไทยที่ว่าด้วยเรื่องห่วงโซ่อุปทาน ต่อให้ MOU ไม่มีแล้ว แต่ก็ยังมีการลงทุนต่อ
“ผมคิดว่า ตรงนี้เป็นเงื่อนไขที่ไม่ได้เขียนไว้ละเอียด หรือลึกซึ้งมากมาย แต่มันถูกตีความไว้ว่า นี่คือการตีความหรือเปิดช่อง ทำให้เกิดความร่วมมือของสองประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งของสหรัฐฯ ในการเข้ามามีอิทธิพลในห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือประเทศไทย เพราะ MOU ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ กับไทย แต่มีมาเลเซีย และญี่ปุ่นด้วย”
ธาราวิเคราะห์ว่า เบื้องหลังของ MOU นี้ เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่น และความคลั่งไคล้ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เพราะรู้สึกเสียเปรียบเรื่องอิทธิพลและอำนาจของจีน เหนือห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก ซึ่งสร้างได้เปรียบในการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ การค้า การลงทุน และการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่
“มัน (MOU) คือการเปิดประตูที่นำไปสู่สิ่งที่เราต้องจับตาดู มันเปิดพรมแดนทำให้สาธารณชนต้องจับตาดูว่า จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้”
เรารู้อะไรเกี่ยวกับแรร์เอิร์ธในไทยบ้าง
ธาราอธิบายว่า ไทยไม่เคยมีการทำเหมืองแร่หายาก โดยอ้างอิงข้อมูลจากสำนักธรณีวิทยาสหรัฐฯ (US Geological Survey: USG) ไทยมีแร่สำรองหายากเป็นอันดับ 4 ของโลกราว 4.5 หมื่นตัน ซึ่งหมายถึงการมีแร่ในใต้ดิน แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมาใช้
อย่างไรก็ดี หากเทียบแหล่งแร่สำรองไทยกับหลายประเทศ เช่น จีน เมียนมา อินเดีย ยูเครน รัสเซีย หรืออินโดนีเซีย ไทยไม่ได้มีแร่เยอะมาก และทรัพยากรกระจายตัวแถบแนวตะวันตกจนถึงภาคใต้ตอนบนเท่านั้น
สำหรับกระแสว่าด้วยไทยมีแร่หายากเยอะ ธาราอธิบายว่า เป็นความเข้าใจผิด เพราะไทยรับเอาแร่หายากมาแปรรูปและส่งออกประมาณ 1 ล้านกิโลกรัม เช่น นำแรร์เอิร์ธอย่างสแกนเดียมและอิตเทรียมจากมาเลเซียมาแปรรูป และส่งออกอีกทีหนึ่ง
ถอดบทเรียนเคสโรงงานแปรรูปแรร์เอิร์ธไลนัสในมาเลเซีย
สำหรับกรณีศึกษาคล้ายคลึงกัน คือ บริษัทเหมืองแร่ Lynas Rare Earth Ltd. จากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกนอกประเทศจีน โดยในปี 2012 กลุ่มประชาสังคมและชาวมาเลเซียออกมาประท้วงแนวโน้มการทิ้งกากแร่เปื้อนกัมมันตรังสี เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียอนุญาตให้บริษัทสกัดแรร์เอิร์ธและทิ้งของเสียในประเทศ
ต่อมา รัฐบาลมาเลเซียแก้ไขปัญหาโดยออกใบอนุญาตให้ไลนัสทำการชั่วคราว พร้อมเงื่อนไขว่า บริษัทต้องทิ้งของเสียที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีไปนอกประเทศ โดยปัจจุบัน บริษัทดังกล่าวยังเปิดในมาเลเซีย และเป็นเพียงบริษัทแรร์เอิร์ธเพียงแห่งเดียวในประเทศ ซึ่งยิ่งมีความต้องการในการผลิตมากขึ้น เช่น ใช้ในเทคโนโลยี หรือการทหาร
อนึ่ง มาเลเซียยังมีบทเรียนอื่นๆ จากการทำแรร์เอิร์ธ เช่น โรงงานของมิตซูบิชิจากญี่ปุ่นในรัฐเปรัก ซึ่งถูกปิดตัวลงในปี 1992 หลังมีประชาชนออกมาประท้วงว่า โรงงานดังกล่าวก่อให้เกิดมลพิษและโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวต่อประชาชนบริเวณใกล้เคียง
กระทรวงการต่างประเทศย้ำ MOU ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม – รับฟังผู้เชี่ยวชาญ
สำหรับท่าทีของรัฐบาลไทย นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า ผลกระทบเรื่องสิ่งแวดล้อมยังไม่เป็นเรื่องที่ต้องกังวล เพราะสหรัฐฯ มีมาตรฐาน ESG และกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมสูง โดย MOU นี้ไม่ใช่การเลือกข้างทางภูมิรัฐศาสตร์
ขณะที่ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่า กระทรวงพร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาศึกษาว่า ไทยจะพัฒนาอย่างไร หรือมีโครงการที่ทำแล้วเกิดประโยชน์หรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ
เช่นเดียวกับกรณีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉานของเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบกับประชาชนในภาคเหนือของไทย โดย รมว. กระทรวงการต่างประเทศระบุว่า รัฐต้องมีมาตรการ ไม่สามารถกระทำโดยไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะสารมลพิษ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
ทางด้าน อดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ยืนยันว่า การลงนามใน MOU นี้จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงและยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญในประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านการสำรวจ การแปรรูป และการใช้ประโยชน์จากแร่ธาตุที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ และชี้ว่า การสำรวจหรือการลงทุนใดๆ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด รวมถึงมาตรการคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อม


 
         
           
                                 
             
                                                     
                                         
                                             
                                                 
                                                     
                                                         
                 
                 
                 
                 
                 
                