วันนี้ (23 เมษายน) นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ Facebook กล่าวถึงสถานการณ์การการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระบุว่า อัปเดตสถานการณ์สัปดาห์ที่ 2 เข้า 3 จากนโยบายที่รัฐบาลเลือกที่จะไม่ล็อกดาวน์ และยังให้เปิดการไป-มาระหว่างจังหวัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะไม่สามารถล็อกดาวน์ได้อีกแล้วด้วยหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งถ้าล็อกดาวน์อีกเศรษฐกิจก็จะยิ่งไปใหญ่
แต่ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะถูกมองกันว่าอย่างไร แต่สิ่งที่เราพบต่อมาหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ เราพบว่า
- ผู้ป่วยที่รับใหม่เริ่มเป็นวง 2 หมดแล้ว เป็นผู้สูงอายุ พ่อ แม่ ปู่ ยา ตา ยาย มี Co-morbid มากๆ แถมบางคนเป็นผู้ป่วยติดเตียงด้วย
- การติดเชื้อ ส่วนใหญ่เป็นคอนแทกต์คอนเฟิร์มเคส นั่นก็คือลูกๆ ที่กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อ แม่ หรือปู่ ย่า ตา ยาย บางคนบอกว่าลูกหลานกลับมาจากเที่ยว หรือกลับมาช่วงเทศกาลสงกรานต์
- แต่ 2-3 วันมานี้คือแทร็กกิ้งไม่ได้แล้วนะว่าไปติดมาจากไหน ใช้แต่อาการแสดงทางคลินิคัล + แล็บ + CXR ถามไม่ได้ความเสี่ยงอะไรเลย เอาจริงๆมันก็คือเฟส 3 แล้วแหละ แต่รัฐบาลคงเลิกประกาศแล้วมั้ง และคนคงเลิกสนใจแล้วแหละ
- ความพีกคือมีหลายๆ ความยากลำบาก เช่น พ่อ แม่บวก ลูกลบ แต่ลูกอายุ 3 เดือน, ปู่ ย่า บวก เป็นผู้ป่วยติดเตียง ลูกเอามาติด นอนไอซียู แต่ลูกอีกคนที่เป็น Caregiver Negative และนอนติดเตียง, ตา ยายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่เป็นลบ ลูกผู้ดูแลเป็นบวก และต้องแอดมิต ไม่มีใครดูแลตา ยาย และไม่มีใครพาตา ยายไป SWAB เนื่องจากเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง
- คนไข้ที่นอนตั้งแต่ช่วงแรก 50-60% เป็นปอดบวมหรือปอดอักเสบ ทั้งๆ ที่แอดมิตค่อนข้างเร็วแล้ว และ 10-20% อาการหนัก ต้องเข้าอินเตอร์มีเดียต / ไอซียู และบางส่วนต้องใส่ท่อช่วยหายใจไป ถึงแม้จะพยายามให้ยาฟาวิพิราเวียร์ / เดกซาเมทาโซนไปเร็วแค่ไหน แต่ถ้า Co-morbid มาก อย่างไรก็เอาไม่อยู่
- คนไข้เก่าขยับไม่ออก คนไข้ใหม่ก็เข้ามาไม่ได้ เกิดปรากฏการณ์คอขวดขึ้นมาเลยในหลายๆที่
- คนไข้ที่รออยู่บ้าน ซึ่ง 40-50% จะเกิดปอดบวมหรือปอดอักเสบ มีคนไข้บางส่วนที่เริ่มเหนื่อย และได้รับการแอดมิตช้า (DOI 8-9) และดีเลย์ทรีตเมนต์ ทำให้คนไข้อาการหนักมาตั้งแต่แรกรับ และต้องเข้าอินเตอร์มีเดียต / ไอซียูมากกว่าเดิม เปิดเพิ่มเท่าไรก็ไม่พอ (เพราะมีแต่เตียง ไม่มีคนพอ เราเรียกเตียงทิพย์)
- โรงพยาบาลต่างๆ เกิดปรากฏการณ์ ‘ป้อมแตก’ มีคนไข้บวกในวอร์ดที่เป็นวอร์ดสามัญ หรือติดเชื้อมาจากบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ (อาจจะเพราะไปได้มาจากลูกหลาน, บางส่วนได้มาเพราะยังไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ฟิตเนส เป็นต้น)
- มีเพื่อน คนรู้จัก หรือแพทย์ / เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนที่ติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะติดจากการสัมผัสผู้ติดเชื้อโดยไม่ทันทราบ และไม่ได้ตั้งใจ หลายๆ คนใช้ชีวิตปลอดภัยมาก แต่พลาดเพราะไม่รู้ว่าคนที่เราอยู่ใกล้ๆ นำพาเชื้อมา (เพราะไม่คิดว่าจะติดได้ จึงประมาท)
- เป็นช่วงที่เริ่มได้สังเกตว่าให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ด้วยความจำกัดจำเขี่ยมากขึ้น จนทำให้เรากลัวเหลือเกินว่าจะมียาเหลือพอหรือไม่
และเกิดวงจรที่ไม่ควรเกิด คือ
- เตียงไม่พอ
- แอดมิตไม่ได้
- รออยู่บ้าน
- อาการหนัก เพราะดีเลย์ยา
- ต้องใช้ยาเยอะกว่าเดิม และใช้ไอซียู
- กินเตียงนาน
- เตียงเต็มเตียงไม่พอ วนไปเป็นนิรันดร์
นอกจากนี้ พอทุกๆ ที่เกินศักยภาพ มีการประสานส่วนกลางเพื่อกระจายเคสหนักเข้าไอซียูในแต่ละโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ แต่เตียงก็เต็ม จนอยากจะบอกว่ารับไม่ได้ ฝ่ายจัดการเตียงและทรัพยากรก็หมุนกำลังเต็มที่ หมุนจนไม่คิดว่าเราจะทำได้ขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ทำงานหนักแบบ 200% ทุกภาคส่วน ไม่เว้นแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรอื่นๆ นอกโรงพยาบาล
บางโรงพยาบาลไม่สามารถรับเคสได้อีกเพราะเตียงล้น
บางโรงพยาบาลคนหายไปเพราะถูก Quarantine หรือติดเชื้อไปบางส่วน
การดูแลผู้ป่วยทั่วไป เริ่มได้รับปัญหาเรื่อยๆ เพราะเกิดการลดขนาดระบบบริการเพื่อไปเทกับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 สถานการณ์ที่เป็นแบบนี้ยากที่เริ่มจำกัดจำเขี่ย เราก็ยังได้ยินไทม์ไลน์ประหลาดๆ เช่น บุคคลชั้นสูงของบางกิจการติดเชื้อเป็นร้อย เพราะไปจ้างสาวพีอาร์มาจัดงานเลี้ยงในช่วงเวลาแบบนี้ เป็นต้น
“ข่าวผู้เสียชีวิตรายวันเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ช้าๆ
สุดท้าย ภาพที่เห็นในอนาคตนี้ช่างยากลำบากเหลือเกิน
ขอให้ทุกท่านช่วยกัน และรีบร่วมมือหยุดวงจรเหล่านี้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้น อาจจะมีวันที่เราไม่เหลือเตียงและยารักษา
หวังว่าเบื้องบนระดับผู้ใหญ่ระดับประเทศจะเห็นพ้องตรงกันว่า นี่คือวิกฤตของประเทศแล้ว”
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล