สำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทสินค้าหรูสัญชาติฝรั่งเศส LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton (LVMH) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Louis Vuitton รวมถึงแบรนด์หรูอื่นๆ อย่าง Christian Dior, Fendi และ Givenchy ตกเป็นเป้าของกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ก่อนที่จะทราบผลการตัดสินเกี่ยวกับกฎหมายการปฏิรูประบบบำนาญของรัฐบาลประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ที่ถูกต่อต้านอย่างหนักจากชาวฝรั่งเศส
พนักงานการรถไฟหลายสิบคนที่นัดหยุดงานประท้วงได้บุกเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของ LVMH ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 22 ถนน Avenue Montaigne ในเช้าวันพฤหัสบดี (13 เมษายน) หนึ่งวันก่อนที่สภารัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสจะวินิจฉัยกฎหมายที่เป็นข้อถกเถียงร้อนแรงในวันศุกร์ (14 เมษายน)
ชาวฝรั่งเศสหลายหมื่นคนออกมาชุมนุมตามท้องถนนในกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส โดยบางส่วนปะทะกับตำรวจปราบจลาจล ขณะที่คลิปวิดีโอแสดงให้เห็นภาพหน้าต่างร้านค้าถูกทุบทำลาย และรถ Tesla ถูกพ่นสีและถูกเผา
ขณะที่ผู้ประท้วงอีกกลุ่มหนึ่งนำขยะไปวางกองทิ้งไว้อยู่ด้านหน้าสภารัฐธรรมนูญ ซึ่งมีกำหนดจะตัดสินเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของการปฏิรูประบบบำนาญ พร้อมทั้งแขวนป้ายขวางถนนที่มีข้อความว่า ‘เซ็นเซอร์รัฐธรรมนูญ’
นอกจากนี้ผู้ประท้วงหลายร้อยคนยังรวมตัวกันขวางกั้นรถเก็บขยะที่จุดทิ้งขยะแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของกรุงปารีส โดยนอกจากกรุงปารีสแล้ว การประท้วงยังเกิดขึ้นในเมืองแรนส์และเมืองต่างๆ ทั่วประเทศด้วย
โซฟี บิเนต์ ผู้นำสหภาพแรงงานฝ่ายซ้าย CGT ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ต่อสู้เพื่อคัดค้านการปฏิรูประบบบำนาญของประธานาธิบดีมาครง ประกาศว่า “การชุมนุมยังไม่จบสิ้น ตราบใดที่แผนการปฏิรูปนี้ไม่ถูกถอนออกไป การชุมนุมก็จะดำเนินต่อไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
“นี่ไม่ใช่วันสุดท้ายของการประท้วงอย่างแน่นอน” เธอกล่าว
ทั้งนี้ ประชาชนนับล้านได้ออกมาเดินขบวนและผละงานประท้วงกันตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อแสดงการต่อต้านแผนปฏิรูปบำนาญของมาครง
โดยรัฐบาลของมาครงปฏิเสธข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานที่ขอให้ระงับและพิจารณาทบทวนแผนปฏิรูปบำนาญใหม่อีกครั้ง ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การปรับเพดานเกษียณอายุจาก 62 ปีขึ้นไป เป็น 64 ปี สร้างความโกรธแค้นให้กับกลุ่มผู้นำแรงงานที่ย้ำจุดยืนชัดเจนว่า รัฐบาลควรหาทางออกจากวิกฤตนี้
ขณะที่ฝั่งของรัฐบาลกล่าวว่า รัฐบาลยินดีที่จะเจรจากับสหภาพแรงงาน แต่เป็นในประเด็นอื่นๆ เพราะรัฐบาลยังยืนยันที่จะเดินหน้าผลักดันแผนปฏิรูปดังกล่าว
ภาพ: Thomas Samson / AFP
อ้างอิง: