แค่เห็นหน้าก็ขาสั่นแล้ว
คำเปรียบเปรยเย้ยหยันที่เหล่าบรรดานักเตะบาร์เซโลนาต้องเผชิญในการเจอกับบาเยิร์น มิวนิก ทีมที่พวกเขาผูกปีแพ้ต่อเนื่องกันถึง 6 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งรวมถึงความปราชัยแบบอัปยศอดสู 8-2 ในปี 2020 ที่เป็นหนึ่งในผลงานที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
อย่างไรก็ดี เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานั้นแตกต่างออกไป เหล่านักเตะเบลากรานาโชว์ฟอร์มร้อนแรง ไล่ถล่มคู่แค้นจากบาวาเรียอย่างย่อยยับ 4-1
ราฟินญา สตาร์เด่นของบาร์ซาเวลานี้ ซึ่งเป็นผู้ทำแฮตทริกได้ด้วยในเกมที่คัมป์นูเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา บอกกับทุกคนว่า “นี่คือการแก้แค้นสำหรับแฟนๆ”
เพียงแต่ในความรู้สึกลึกๆ แล้ว นี่อาจไม่ใช่แค่การแก้แค้นสำหรับแฟนๆ เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการแก้แค้นส่วนตัวด้วย
“สำหรับพวกเราทุกคนแล้ว เราไม่มองย้อนกลับไปในอดีต เราสนใจเฉพาะเกมข้างหน้า แต่โดยส่วนตัวแล้วในฐานะแฟนบอล ผมเองก็เจ็บปวดกับเกมที่เราพ่ายแพ้เหล่านั้นด้วย” ราฟินญา ซึ่งอยู่ในทีมวันที่แพ้บาเยิร์นในการพบกัน 2 ครั้งหลังสุด กล่าว
แต่ค่ำคืนที่ผ่านมาดาวเตะวัย 27 ปีที่ย้ายมาจากลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2022 ลงสนามครบ 100 นัดให้กับบาร์ซา สามารถทำแฮตทริกได้ด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเปิดฉากอย่างเร้าใจด้วยประตูขึ้นนำในนาทีแรกเลยทีเดียว
3 ประตูในเกมนี้ทำให้ราฟินญาทำไปแล้ว 9 ประตูในฤดูกาลนี้ ขาดอีกเพียงลูกเดียวก็จะเท่ากับผลงานทั้งฤดูกาล 2023/24 ที่ทำได้ 10 ประตู โดยที่เรายังไม่ได้นับการมีส่วนร่วมในการได้ประตูอีก 8 แอสซิสต์ของเขา ซึ่งหมายถึงการมีส่วนร่วมกับการได้ประตู (Goal Involvements) ของเขากับบาร์ซามากถึง 17 ประตู
ผลงานเกินคำว่าดีไปมาก และใกล้เคียงกับคำว่ามหัศจรรย์
ฮันซี ฟลิก นายใหญ่คนใหม่ของบาร์ซา (ซึ่งอาจจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เพราะก่อนหน้านี้เขาคือคนที่คุมบาเยิร์น มิวนิก ถล่มถึง 8-2 เมื่อ 4 ปีก่อน) บอกกับทุกคนว่าเขาไม่เคยมีลูกทีมแบบราฟินญามาก่อน
ในคำของอดีตบุนเดสเทรนเนอร์ที่เคยไปถึงการคุมทีมชาติเยอรมนีมา ราฟินญาไม่ได้เป็นผู้เล่นที่เก่งกาจด้วยฝีเท้า
เขาใส่หัวใจลงไปในนั้นด้วย
และนั่นคือเคล็ดลับของเวทมนตร์ที่ปลายเท้าของจอมเลื้อยรายนี้
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ชีวิตของราฟินญาผ่านการต่อสู้มามากมาย ในฐานะของคนที่ถูกปฏิเสธจากคนอื่นเสมอ
“ตอนผมอายุ 18 ผมถูกปฏิเสธจากอะคาเดมีต่างๆ มากมายจนผมขี้เกียจจะนับ จะเป็นที่อินเตอร์นาซิอองนาล เกรมิโอ หรือที่ไหน ทุกที่ก็เป็นเหมือนกันหมด คือไปทดสอบฝีเท้า 1 สัปดาห์ และจากนั้นก็ตามมาด้วยข้อแก้ตัวต่างๆ” ราฟินญาเคยเล่าถึงชีวิตตัวเองไว้
“เขาตัวเล็กเกินไป เขาเปราะบางเกินไป เขาไม่มีพลังหรอก”
จุดเปลี่ยนแรกของชีวิตราฟินญาอยู่ตอนช่วงอายุ 19 ปี เมื่อเขาได้โอกาสทดสอบตัวเองกับอาไว สโมสรซึ่งอยู่ในเมืองฟลอเรียนอโปลิส ซึ่งห่างไกลจากปอร์โตอาเลเกร บ้านของเขามาก ถ้าขับรถไปต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง
ปกติแล้วราฟินญาจะไม่ไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรฟุตบอลที่อยู่ไกลบ้านมากนัก แต่ครั้งนี้เป็นโอกาสที่เขาอยากลองดู
ปัญหาคือมันก็ไม่ได้เริ่มต้นด้วยดีสักเท่าไร เพราะแค่เริ่มเขาก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บ แต่พอกลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้งก็ไม่ได้ถูกเลือกให้ติดทีม ไม่มีชื่อแม้กระทั่งบนม้านั่งสำรอง
ในสถานการณ์แบบนั้น – ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา – ทุกครั้งราฟินญาจะกลับมาบ้านเสมอเพื่อเล่นแถวบ้าน ที่ที่ไม่เคยมีใครตั้งคำถามกับเขาเรื่องของรูปร่าง และเต็มไปด้วยกำลังใจที่เชื่อว่าเขาจะกลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพตามความฝันได้
แต่ที่อาไวและด้วยวัยที่ล่วงมาถึง 19 ปีแล้ว ความหงุดหงิดผิดหวังตลอดมาทำให้ราฟินญาทดท้อใจ ถึงขั้นคิดว่าจะพอแล้วสำหรับการตามล่าความฝัน
เขาอยากกลับบ้าน ไม่อยากเล่นฟุตบอลอีกต่อไป
เรื่องนี้พ่อและแม่ไม่ว่าอะไร แต่แม่ฝากแง่คิดเอาไว้แค่อย่างเดียว
“แต่ลูก” แม่บอก “ถ้าลูกทิ้งความฝันตอนนี้ ลูกจะต้องทำงานธรรมดาแบบคนธรรมดานะ”
ถึงครอบครัวของราฟินญาจะไม่ถึงกับยากลำบากมาก แต่เพราะเขามีความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จึงไม่ได้เล่าเรียนเหมือนเด็กคนอื่นเขา การไม่มีวุฒิการศึกษา หมายถึงเส้นทางในอนาคตของเขาจะเหลือน้อยกว่าคนอื่น สิ่งที่เขาเป็นได้คือพนักงานในซูเปอร์มาร์เก็ตหรือช่างตัดผม
และเพราะนี่คือคำพูดของแม่ – หญิงสาวผู้ผ่านชีวิตมามากมาย ประกอบอาชีพมาแล้วหลายอย่างตั้งแต่ช่างทำผม พนักงานขายเสื้อผ้าและน้ำหอม ไปจนถึงพนักงานต้อนรับ และบริกร – ที่สุดแล้วชีวิตของเธอเปลี่ยนเมื่อเธอเก็บเงินได้มากพอที่จะเรียนจนจบและได้รับปริญญา จนได้ทำงานในสิ่งที่รักนั่นคือการช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
“แม่ไม่เคยยอมแพ้”
ความยากลำบากในชีวิตต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาอาจทำให้เราหลงลืมสิ่งที่เราเคยปรารถนาจริงๆ ในชีวิตไป คือคำแนะนำสุดท้ายจากแม่ก่อนที่จะวางสายกัน
เวลานั้นคือวินาทีที่ราฟินญานึกออกอีกครั้งว่าความฝันของเขาคืออะไร
จากวันนั้นในเวลาเพียง 2 ปี ราฟินญาเปลี่ยนจากนักเตะวัย 19 ปีที่ไม่เคยได้รับสัญญาอาชีพจากสโมสรไหน กลายเป็นดาวเด่นในลีกโปรตุเกสด้วยการเริ่มต้นกับสโมสรวิกตอเรีย กิมาไรส์ ในทีมชุด B หรือทีมสำรอง ก่อนจะได้โอกาสขยับเป็นตัวจริงภายในเวลาอันรวดเร็ว
สปอร์ติง ลิสบอน 1 ใน 3 สโมสรใหญ่ของโปรตุเกส รีบจัดแจงคว้าเขามาร่วมทีมในวัย 21 ปี ก่อนจะย้ายไปแร็งส์ สโมสรในลีกเอิง ได้หนึ่งในฤดูกาล และถูก เดโก ตำนานลูกหนังทีมชาติโปรตุเกสที่มีเชื้อสายบราซิล ซึ่งหันมาทำงานในวงการฟุตบอลในฐานะนายหน้า ชักชวนให้มาอยู่กับลีดส์ ยูไนเต็ด ในปี 2022
ราฟินญาแจ้งเกิดกลายเป็นสตาร์แห่งเอลแลนด์โรด เป็นหนึ่งในคีย์แมนทีมชุดระดับตำนานของ มาร์เซโล บิเอลซา
ผลงานที่โดดเด่นนั้นทำให้เขาถูกสโมสรยักษ์ใหญ่ที่สุดของโลกอย่างบาร์เซโลนาคว้าตัวมาร่วมทีมในที่สุดด้วยค่าตัว 58 ล้านยูโร
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของราฟินญากับบาร์ซาไม่เคยมีคำว่าง่าย
เพราะด้วยสถานะของเขาที่ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ระดับสูงสุดของวงการ ทำให้ราฟินญาไม่เคยได้รับการยอมรับสักเท่าไรนัก และมักจะตกเป็นหนึ่งในคนที่ถูกโยงเป็นข่าวซื้อขายย้ายตัว ในฐานะผู้เล่นที่จะช่วยปลดเปลื้องภาระหนี้สินมหาศาลของสโมสรได้
ไม่ว่าจะทำดีสักแค่ไหน สักเท่าไรก็ตาม
ย้อนกลับไปในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา บาร์ซาตกเป็นข่าวต้องการคว้าตัว นิโก วิลเลียมส์ ตัวรุกดาวเด่นทีมชาติสเปนจากทีมแอธเลติก บิลเบา ที่แจ้งเกิดอย่างสวยหรูในศึกยูโร 2024 หนึ่งในผู้ทำประตูในนัดชิงชนะเลิศให้เอาชนะอังกฤษได้
ในข่าวนั้นปรากฏภาพของวิลเลียมส์ชูเสื้อของบาร์เซโลนา
บนเสื้อที่เป็นหมายเลข 11 ของเขา
ราฟินญาอดไม่ไหวที่จะโต้ตอบไปบนโซเชียลมีเดียว่า การทำแบบนี้ถือเป็นการ ‘ไม่ให้เกียรติ’ กับตัวของเขาเอง คนที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสโมสรมาโดยตลอด
“พวกเขาควรที่จะให้ความเคารพผู้เล่นคนที่พยายามอย่างเต็มที่ในการลงสนามในสีเสื้อของสโมสร มันไม่น่าจะถูกต้องสำหรับผมที่ทุ่มเทมาโดยตลอด แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็มีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการจะทำ”
นักเตะทีมชาติบราซิลบอกกับทุกคนในเวลานั้นว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้คิดติดใจอะไร มันจะไม่ถูกนำมาใช้เป็นแรงกระตุ้นพิเศษ
แต่จากที่เคยตั้งใจ 100 เปอร์เซ็นต์ เขาจะตั้งใจ 200 เปอร์เซ็นต์แล้ว
และภายใต้การดูแลของฟลิก คนที่มองเห็นศักยภาพพิเศษของราฟินญา นั่นคือร่างกายที่แข็งแรงแบบนักกีฬา (Athleticism) ก่อนจะหาทางเพื่อปลดปล่อยศักยภาพที่มีในตัวออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งฟุตบอลสไตล์ใหม่ของบาร์ซาที่จู่โจมคู่แข่งด้วยความรวดเร็ว ทำให้สตาร์วัย 27 ปีเฉิดฉายยิ่งกว่าใครในทีม
ความโดดเด่นนั้นหากไม่น้อยหน้าก็อาจจะเรียกว่าเหนือกว่า ลามีน ยามาล วันเดอร์คิดของสโมสร ด้วยซ้ำไป
การเปลี่ยนแปลงในฤดูกาลนี้ถือเป็นการ ‘Reinvent’ ตัวเองใหม่สำหรับราฟินญา ที่ใช้ศักยภาพและความสามารถที่มีในตัวในรูปแบบใหม่ เล่นเร้าใจขึ้น เร็วขึ้น ดุดันขึ้น และเฉียบคมมากยิ่งขึ้น โดยที่ยังเต็มไปด้วยความเร่าร้อนที่สัมผัสได้เหมือนเดิม
แต่หากมองให้ลึกลงไปในความเปลี่ยนแปลงแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับราฟินญานั้นว่าด้วยหัวใจ
เขาเป็นที่รักของเพื่อนร่วมทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟลิกมองเห็น
เขาเป็นคนที่ทุ่มเทอย่างถึงที่สุดในสนาม เป็นคนสร้างไดนามิกให้กับทีม และปลุกบรรยากาศในทีม
เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมในเกมรุก แต่ไม่เคยรังเกียจที่จะเล่นเกมรับ
ผลงานที่ออกมาจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ หากแต่เป็นผลตอบแทนรางวัลของคนที่พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์หรือความยากลำบากสักแค่ไหนก็ตาม
การล้างแค้นบาเยิร์น มิวนิก, แฮตทริกในแชมเปียนส์ลีก, การทำประตูตั้งแต่นาทีแรก, รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกม, ลูกฟุตบอลที่ระลึก และการแห่ฉลองของเพื่อนร่วมทีมหลังเกมจบลง ทุกอย่างคือการแก้แค้นที่สวยงามที่สุดของราฟินญา
แก้แค้นแฟนบาร์เซโลนา ด้วยการพาบาร์เซโลนาคว้าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
และบอกให้โลกช่วยรู้ไว้
หัวใจนี้ไม่เคยยอมแพ้
อ้างอิง:
- https://www.theplayerstribune.com/posts/raphinha-leeds-united-premier-league-soccer
- https://tribuna.com/en/news/fcbarcelona-2023-09-15-id-had-enough-raphinha-reveals-why-he-almost-quit-football/
- https://www.espn.ph/football/story/_/id/41969907/uefa-champions-league-stats-erling-haaland-goes-kylian-mbappe-raphinha-joins-cristiano-ronaldo-madrid-make-ucl-history
- https://footballbiography.com/raphinha-journey-rejection-resilience-brazilian-football/
- https://www.nytimes.com/athletic/5863165/2024/10/22/raphinha-nico-williams-barcelona
- https://www.nytimes.com/athletic/5795999/2024/09/28/raphinha-barcelona-la-liga-hansi-flick-reinvention/
- https://www.nytimes.com/athletic/3414636/2022/07/15/the-raphinha-transfer-saga-from-start-to-finish
- https://www.espn.com/soccer/story/_/id/41968265/barcelona-raphinha-bayern-rout-revenge-fans