เทรนด์ความหรูหราแบบเงียบๆ (Quiet Luxury) กำลังมาแรงในปี 2023 จากความไม่มั่นคงของภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น ทำให้คนรวยไม่อยากจะอวดความมั่งคั่งของตัวเอง และหันมาใช้สินค้าสไตล์เรียบง่าย แต่ป้ายราคาก็ยังสูงอยู่มากขึ้น
Business Insider รายงานว่า เทรนด์ความหรูหราแบบเงียบๆ คือเสื้อผ้าที่มีสไตล์เรียบง่าย แต่มีคุณภาพและมีราคาสูง แต่จะไม่มีโลโก้ที่เด่นชัด ถ้าเทียบกับหัวเข็มขัด Gucci สีทองขนาดใหญ่ หรือกระเป๋าถือโลโก้ Louis Vuitton
สิ่งที่ทำให้เทรนด์ความหรูหราแบบเงียบๆ ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรหลังโควิดคลี่คลายลงในปี 2021 เทรนด์แฟชั่นก็หันไปเป็นแนวการแต่งตัวโดพามีน หรือที่เรียกว่าการแต่งตัวด้วยสีสันสดใส โชว์เรือนร่างมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ส่องเทรนด์ปี 2023 ‘Gen Z’ เริ่มหันหลังให้ฟาสต์แฟชั่น ลดความถี่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ทำวงการเสื้อผ้าต้องพลิกโฉมสู่ความยั่งยืน
- เมื่อโลกใบนี้มีอะไรมากกว่าคำว่า ‘หรู’! ถอดรหัสสิ่งสำคัญที่เรา (และแบรนด์) ได้เรียนรู้จากดราม่ากระเป๋า Charles & Keith
- จะไม่หยุดอยู่แค่นี้! ซีอีโอ UNIQLO ลั่น จะสร้างรายได้ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี หลังตลาดแฟชั่นในจีน-ญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก
ลอร์นา ฮอลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นในอเมริกา กล่าวว่า เมื่อบริบททุกอย่างเปลี่ยนไป ซีรีส์ก็มีส่วนในการกำหนดเทรนด์แฟชั่นนี้ด้วย เห็นได้จากซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง Succession ของ HBO เรื่องราวของตัวละครที่ร่ำรวยชอบสวมหมวกเบสบอลแคชเมียร์ ซึ่งมีมูลค่า 600 ดอลลาร์ และแว่นกันแดด Tom Ford ที่ดูไม่หรูหรามากแต่มีราคาแพง สะท้อนถึงการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มีราคาแพงและมีรสนิยม แต่ยังใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป
อย่างไรก็ตาม เทรนด์ความหรูหราแบบเงียบๆ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2008 และกลายเป็นเทรนด์ที่มีอิทธิพลอยู่เหนือแฟชั่น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่
ในช่วงเวลาเดียวกันก็ทำให้แบรนด์ระดับไฮเอนด์อย่าง Loro Piana จากอิตาลี ได้รับอานิสงส์ไปด้วย โดยเฉพาะเสื้อกันหนาวแคชเมียร์ที่มีราคาประมาณ 1,700 ดอลลาร์
เช่นเดียวกับแบรนด์ Hermès และ Armani ที่มุ่งขายสินค้าเกาะกระแสเทรนด์ความหรูหราแบบเงียบๆ มานานหลายปี เพื่อรองรับความต้องการของคนมีฐานะที่พยายามทำตัวกลมกลืนกับคนทั่วไปด้วยการแต่งตัวแบบมินิมัล
นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า เทรนด์ความหรูหราแบบเงียบๆ เคยได้รับความนิยมเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา และถามไปถึง CFO ของแบรนด์หรูอย่าง LVMH ว่า แนวโน้มเทรนด์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อบริษัท ซึ่งรวมถึงแบรนด์ Louis Vuitton, Dior และ Fendi ด้วยหรือไม่ ซึ่ง LVMH ก็ยังเชื่อว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังต้องการสินค้าที่มีโลโก้ และแบรนด์ได้เตรียมเพิ่มสินค้าให้เป็นทางเลือกใหม่เพิ่มขึ้นเรียบร้อยแล้ว
อ้างอิง: