ปตท. เปิดแผนธุรกิจรับมือความผันผวนเศรษฐกิจโลก วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา และภาษีสหรัฐฯ เตรียมเพิ่มนำเข้า LNG สหรัฐฯ พร้อมปรับกลยุทธ์เปลี่ยนผ่านพลังงาน รุกไฮโดรเจน CCS ตั้งเป้ากระแสเงินสดกว่าแสนล้านบาท
คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลกระทบสหรัฐฯเก็บอัตราภาษีตอบโต้ไทย 19% นั้น ปตท. ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมมีแผนรับมือกับทุกสถานการณ์
โดยล่าสุดเตรียมเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) 1 ล้านตันจากสหรัฐในปี 2569 มูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ และในอีก 5 ปี จะทำสัญญาซื้ออีก 1 ล้านตันเศษ ราว 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใต้โครงการ LNG Alaska ที่รัฐบาลไทยสามารถนำไปเจรจาต่อรอง
รวมทั้งมีความสนใจที่จะนำเข้า LNG ระยะยาวกับบริษัท 8 Star Alaska, LLC กับสหรัฐฯ โดยได้ทำการลงนามร่วมศึกษาและจัดหา ซึ่งเป็นแผนระยะยาวที่จะเกิดขึ้นในอีก 3-4 ปี
“ภาษีทรัมป์เราก็ติดตามสถานการณ์ ซึ่งโลกมีความไม่แน่นอนในหลายเรื่อง ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจผันผวน กลุ่มปตท. จะต้องบริหารจัดการและวางแผนการลงทุนอย่างระมัดระวัง รักษาผลตอบแทนที่ดี”
แม้ภาษีสหรัฐจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นความเสี่ยง แต่ปตท.ตั้งวอร์รูมพร้อม ส่วนกรณีของแหล่ง LNG Alaska นั้นเป็นแหล่งที่มีความน่าสนใจ และมีศักยภาพ สนใจจะซื้อ นำเข้ามา ซึ่งสหรัฐฯ พร้อมที่จะขาย โดยต้องเจรจากันอีก ส่วนราคาก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะมีราคาอ้างอิงตามกลไกทั่วโลก
ขณะที่ประเด็นข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ปตท. ยอมรับว่า “ประเด็นนี้ก็เป็นหนึ่งในความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์ แต่เมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจของ ปตท. ที่ไปลงทุนในกัมพูชา ก็ถือว่าไม่ได้ใหญ่มาก และไม่ใช่สัดส่วนหลัก”
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีการบริหารจัดการ ซึ่งมั่นใจว่าจะมีวิธีต่างๆ เข้ามาดูแล หากจะต้องเปลี่ยนแนวทางธุรกิจในอนาคตไปยังพื้นที่อื่นๆ
ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ปตท.ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยทำการปรับ Portfolio กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมและโรงกลั่น (P&R) เสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทเรือธง(Flagships)
โดยเปิดโอกาสให้มีพาทเนอร์เข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่า ซึ่งต้องเป็นพาทเนอร์ที่ต้องอยู่ในอุตสาหกรรม และ ปตท. ยังมองว่าเป็นธุรกิจ ‘เรือธง’ และยังถือเป็นหุ้นใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีการสรุปรายชื่อพาทเนอร์ได้ภายในปี 2568 และตั้งเป้าดำเนินธุรกิจแล้วเสร็จภายในปี 2569
ตั้งเป้าปี 69 ดันกระแสเงินสดรวมกว่าแสนล้านบาท
นอกจากนี้ ปตท. ยังมีแผนบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. และปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งและวินัยทางการเงินเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะมุ่งสร้างกระแสเงินสดให้ได้ 38,000 ล้านบาทในปี 68 และ 77,000 ล้านบาท ในปี 69 รวมเป็นสร้างกระแสเงินสดรวมกว่า 100,000 ล้านบาท
ปรับการถือหุ้น Lotus – โครงสร้างธุรกิจ EV – รุกไฮโดรเจน
โดยเฉพาะกลยุทธ์เปลี่ยนผ่านพลังงาน ทั้งด้านธุรกิจ Non-Hydrocarbon มีความก้าวหน้าที่ดี เดินตามแผนกลยุทธ์ปรับพอร์ตการลงทุน ส่วนธุรกิจ Life Science ร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ สร้างการเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง (Self-funding) ปรับการถือหุ้น Lotus ผ่านธุรกรรมการขายหุ้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัว รวมทั้งปรับโครงสร้างธุรกิจ EV จำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด โดยเป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้
ส่วนธุรกิจไฮโดรเจน ศึกษาโอกาสในการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้าพร้อมลงนามข้อตกลงความร่วมมือศึกษาความเป็นไปได้ทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ในการจัดหาไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียวที่ผลิตในประเทศอินเดียสู่ประเทศไทยร่วมกับ Avaada Ventures Private Limited
เสริมแกร่งภายใน 5 ด้าน เพิ่ม EBITDA
โครงการสำคัญที่จะช่วยยกระดับผลการดำเนินงาน เพิ่ม EBITDA Uplift และสร้างความสามารถในการแข่งขันของกลุ่ม ปตท. จะมีทุกมิติ ควบคู่การลดก๊าซเรือนกระจก และมุ่งศึกษา Eastern Thailand CCS Hub แล้วเสร็จ
- การบริหารความร่วมมือด้าน Supply Chain และ Marketing ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ D1 และ Project One (P1) เพื่อยกระดับ Synergy ภายในกลุ่ม ปตท. และเตรียมความพร้อมขยายตลาดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- เดินหน้า Operational Excellence (MissionX) ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ (Lean Process) ควบคู่กับการทำ Change Management และ Best Practice Sharing เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
- ขับเคลื่อน Digital Transformation (Axis) โดยผลักดันให้เกิดการพัฒนา Use Cases สนับสนุนธุรกิจกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งพัฒนา Infrastructure และศักยภาพพนักงาน
- Asset Monetization (A1) การบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. เพิ่ม Asset Optimization & Synergy และปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม
- Financial Excellence (F1) เสริมสร้างความแข็งแกร่งและวินัยทางการเงินเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีให้แก่นักลงทุน สอดคล้องพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับผลดำเนินงาน 6 เดือนแรกปี 2568 ยังคงแข็งแกร่ง ด้วยกำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิของทั้งปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 90,072 ล้านบาท ทำให้มั่นใจได้ว่า ‘กลยุทธ์มาถูกทาง’
แม้ว่าจะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก อาทิ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้มีส่วนต่างของกำไรขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน
ประกอบกับความแตกต่างระหว่างราคาขาย และราคาซื้อ (Spread) ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่ลดลง นอกจากนี้ในปี 2567 ยังมีการรับรู้กำไรจากรายการพิเศษที่มากกว่าปี 2568 ซึ่งเป็นรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Items)