พงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทได้รับการอนุมัติสิทธิ์การพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในเมียนมา และได้ลงนามในหนังสืออนุญาตให้เริ่มดําเนินงาน (Notice to Proceed) กับกระทรวงไฟฟ้าและพลังงานเมียนมา (Ministry of Electricity and Energy หรือ MOEE) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563
โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในเมียนมาเป็นการลงทุนด้านพลังงานแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยการสํารวจและการพัฒนาแหล่งผลิตปิโตรเลียม, ธุรกิจโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ, โครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานแก่ประเทศเมียนมา
นับเป็นก้าวแรกที่สําคัญของบริษัทที่เป็นการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจสํารวจและผลิต ซึ่งสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว
โครงการดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการลงทุนในการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Combined Cycle) ขนาดกําลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ในเขตไจลัท ภูมิภาคอิรวดี และระบบท่อขนส่งก๊าซฯ ทั้งนอกชายฝั่งและบนบกจากเมืองกันบก-เมืองดอร์เนียน-เมืองไจลัท รวมระยะทางประมาณ 370 กิโลเมตร และการวางระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงจากเขตไจลัทไปยังเขตลานทายาในภูมิภาคย่างกุ้ง โรงไฟฟ้าดังกล่าวจะใช้ก๊าซจากแหล่งก๊าซธรรมชาติที่บริษัทมีการลงทุนอยู่แล้ว ได้แก่ โครงการซอติก้า และโครงการเมียนมา เอ็ม 3
กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จะจําหน่ายให้กับหน่วยงานด้านไฟฟ้าของประเทศเมียนมา (Electric Power Generation Enterprise หรือ EPGE) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้ MOEE โดยสัญญาซื้อขายก๊าซฯ มีระยะเวลา 20 ปี และสามารถต่ออายุสัญญาได้ 5 ปีนับจากวันเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD)
บริษัทคาดว่าจะสามารถประกาศการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ของโครงการได้ภายในปี 2565 กําลังการผลิตไฟฟ้าจากโครงการนี้จะสามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 10% ของกําลังการผลิตไฟฟ้ารวมในประเทศเมียนมา
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า