บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล ปรับเป้าหมายการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายจาก 4,500 ล้านบาท เป็น 5,500 ล้านบาทภายในปีนี้ ควบคู่กับการเดินหน้ากลยุทธ์ Asset Light และการทรานส์ฟอร์มสู่ธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ
ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/68 PTTGC กล่าวว่า PTTGC มีรายได้จากการขายรวมในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 132,547 ล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (Adjusted EBITDA) อยู่ที่ 5,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนความสำเร็จของการบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวทาง Holistic Optimization แม้ในไตรมาส 1/68 ยังคงขาดทุนสุทธิที่ 2,567 ล้านบาท แต่ถือว่าปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/67 ที่รายงานขาดทุนสุทธิ 11,738 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ
สำหรับผลประกอบการที่ดีขึ้นในไตรมาส 1/68 เป็นผลมาจากการใช้วัตถุดิบอีเทนในกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์มากขึ้น ส่งผลให้ Adjusted EBITDA ปรับตัวดีขึ้น การบริหารต้นทุนอย่างมีวินัย ขณะที่กลุ่มเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษยังคงเติบโตดี โดย allnex มียอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่ลดลงเป็นผลจากการปรับโครงสร้างของ Vencorex
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงรักษาฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานกว่า 12,000 ล้านบาท และเงินสดรวมกว่า 37,000 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส ซึ่งสะท้อนถึงสภาพคล่องที่มั่นคง และความสามารถในการบริหารจัดการภายใต้ภาวะตลาดที่ผันผวน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่สนับสนุนกลยุทธ์ธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกยังเผชิญความกดดันจากความไม่แน่นอน ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน อุปทานส่วนเกิน และมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ GC ได้เตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน โดยมุ่งปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น บริษัทฯ ได้ดำเนินมาตรการพลิกสถานการณ์ธุรกิจอย่างจริงจัง โดยเฉพาะภายใต้แนวทาง Holistic Optimization และ Asset Light ซึ่งเดิมตั้งเป้าเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายที่ 4,500 ล้านบาท แต่จากความคืบหน้าในการดำเนินงานที่ชัดเจน บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายใหม่ที่ 5,500 ล้านบาทต่อปี เพื่อรองรับความท้าทายที่เข้มข้นยิ่งขึ้น
โดยเพิ่มเป้าหมายเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายเป็น 5,500 ล้านบาท เดินหน้าธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ จากความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในการดำเนินมาตรการพลิกฟื้นธุรกิจ PTTGC ได้ปรับเป้าหมายของแผนการเพิ่มประสิทธิภาพ จากเดิม 4,500 ล้านบาท เป็น 5,500 ล้านบาท ภายในปี 2568 ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลประกอบการ และรองรับความท้าทายที่เข้มข้นขึ้นในอุตสาหกรรม โดยครอบคลุม 4 แนวทางหลัก ได้แก่
- Holistic Optimization: ปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานแบบองค์รวม พร้อมเดินหน้าต่อยอดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร
- Portfolio Transformation: บริหารจัดการสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าและลดต้นทุนในระยะยาว
- OPEX Saving: ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการควบคุมต้นทุนในทุกส่วนขององค์กรโดยไม่กระทบต่อคุณภาพการดำเนินงาน
- Other Enhancements: เพิ่มความสามารถในการจัดหาวัตถุดิบและเพิ่มความเป็นเลิศด้านการค้า
ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC
ทั้งนี้ PTTGC ได้วางแผนรับมือสถานการณ์ความไม่แน่นอนอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทฯ ประเมินว่าผลกระทบโดยตรงยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากสินค้าที่ PTTGC ผลิตในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จำหน่ายภายในประเทศ
ขณะที่สัดส่วนการส่งออกจากฐานการผลิตอื่นของ PTTGC ไปยังสหรัฐฯ มีไม่ถึง 1% สำหรับผลกระทบทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงของทิศทางการค้า บริษัทฯ ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมเสริมความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ โดยได้วิเคราะห์สถานการณ์ในหลายรูปแบบ (Scenario Analysis) และวางแผนรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในทุกกรณี
ขณะเดียวกัน GC ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด GC StandOut แตกต่างอย่างยั่งยืน โดยมุ่งพัฒนาความสามารถในการแข่งขันผ่านนวัตกรรม กระบวนการทำงานที่ทันสมัย และการต่อยอดจุดแข็งเฉพาะตัวอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการสร้างความแตกต่างผ่านการขยายธุรกิจในกลุ่มเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษและวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ Coating Resin พลาสติกชีวภาพ และเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ซึ่งดำเนินงานผ่านธุรกิจระดับโลกอย่าง Allnex และ NatureWorks เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มของตลาดโลกที่มุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและการลดการปล่อยคาร์บอนอีกด้วย