บมจ.ปตท. ประกาศกำไร 1H66 หดเหลือ 47,962 ล้านบาท ลดลง 24.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไร 2Q66 ทรุดเหลือ 2.01 หมื่นล้าน ดิ่ง 48.2% กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี-โรงกลั่นฉุดราคาน้ำมันร่วงทำขาดทุนจากสต๊อก
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. หรือ PTT แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2/66 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 20,107 ล้านบาท ลดลง ลดลง 48.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 47,962 ล้านบาท ลดลง 24.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้เป็นไปตามทิศทางของ EBITDA รวมทั้งราคาปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในตลาดโลกที่ปรับลดลง โดยหลักมาจากปัจจัยกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน
อีกทั้งมีการรับรู้ขาดทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยหลักจากรายการภาษีจากการขายเงินลงทุน บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC ของ บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP สุทธิกับการรับรู้ส่วนลด Shortfall ของ ปตท.
นอกจากนี้ในไตรมาส 2/66 บริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน 778,065 ล้านบาท ลดลง 148,889 ล้านบาท หรือ 16.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น และกลุ่มธุรกิจนำ้มันและการค้าปลีกที่มีรายได้ลดลงตามราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่ปรับตัวลดลงตามราคาตลาดโลก แม้ว่าปริมาณขายโดยส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีรายได้จากการขายลดลงจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่ลดลง และรายได้ของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ลดลงจากการจำหน่ายธุรกิจถ่านหินในไตรมาส 1/66
สำหรับธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลงจากผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันในไตรมาส 2/66 นี้ ซึ่งกลุ่ม ปตท. มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันประมาณ 4,000 ล้านบาท รวมทั้ง Market GRM ลดลงจาก 21.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 2/65 เป็น 4.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 2/66 จากส่วนต่างราคานำ้มันอากาศยาน น้ำมันดีเซล และนำ้มันเบนซิน กับนำ้มันดิบปรับลดลง แม้ว่าปริมาณขายเพิ่มขึ้น ในส่วนของผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวลดลง โดยหลักจากกลุ่มโอเลฟินส์จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับลดลง
นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานลดลงตามรายได้จากการขายที่ลดลง กลุ่มธุรกิจอื่นๆ อีกทั้งธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงทุกผลิตภัณฑ์ตามราคาปิโตรเคมีในตลาดที่ใช้อ้างอิง แม้ว่าปริมาณการขายเพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจท่อส่งก๊าซฯ ที่ลดลงจากการปรับอัตราค่าผ่านท่อ
อย่างไรก็ตามความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาน้ำมัน ทั้งนี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3/66 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77-82 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบในไตรมาส 1/66 เฉลี่ยอยู่ที่ 77.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ในไตรมาส 3/66 เฉลี่ยอยู่จะที่ 5.0-6.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในไตรมาส 3/66 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากความต้องการซื้อสินค้าปลายทางของผู้บริโภคที่คาดว่าจะยังคงอ่อนแอ ประกอบกับราคาแนฟทาที่ยังคงปรับตัวลดลง