PTT เผยกำไรไตรมาส 2/64 จำนวน 24,578.66 ล้านบาท เติบโต 104% จากช่วงเดียวกันปีก่อน อานิสงส์ธุรกิจปิโตรเคมีและค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่งวด 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 57,166.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 444.50% พร้อมเผยมุมมองไตรมาส 3/64 ราคาปิโตรเคมียังโตต่อเนื่อง ส่วนความคืบหน้า 3 โครงการท่อส่งก๊าซคาดเสร็จตามกำหนดในปี 2564-2565
บมจ.ปตท. หรือ PTT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิ 24,578.66 ล้านบาท หรือ 0.86 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 104% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่กำไร 12,053.29 ล้านบาท หรือ 0.42 บาทต่อหุ้น
ในไตรมาส 2/64 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 533,256 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63 จำนวน 191,931 ล้านบาท หรือ 56.2% จากเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ โดยรายได้ของกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น รวมถึงธุรกิจน้ำมันเพิ่มขึ้น จากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในตลาดโลก รวมถึงรายได้ของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ปรับขึ้นตามราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น
ในไตรมาส 2/64 ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 113,166 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58,958 ล้านบาท หรือมากกว่า 100% จากไตรมาส 2/63 โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงธุรกิจการกลั่นที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นประมาณ 7,000 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นจากสิ้นไตรมาส 1/64 ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่มีแนวโน้มดีขึ้น แม้ว่ากำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ทรงตัวที่ 1.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการกลั่นรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Accounting GRM) ปรับเพิ่มขึ้นจากขาดทุน 1.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาส 2/63 เป็นกำไร 4.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาส 2/64
ในส่วนของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น โดยหลักจากโครงการโอมาน แปลง 61 จากการเข้าซื้อธุรกิจตามที่กล่าวข้างต้น และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยหลักจากราคาขายเฉลี่ยที่อ้างอิงราคาปิโตรเคมีและปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และจากปริมาณขายก๊าซธรรมชาติและราคาขายลูกค้าอุตสาหกรรมที่อ้างอิงราคาน้ำมันเตาที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ
นอกจากนี้ธุรกิจน้ำมันมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นตามราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น โดยหลักจากน้ำมันอากาศยาน เนื่องจากในไตรมาส 2/63 มีมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มข้นกว่าไตรมาส 2/64
ส่วนงวด 6 เดือน ปี 2564 มีกำไร 57,166.27 ล้านบาท หรือ 2 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 444.50% จากช่วงเดียวกันปี 2563 ที่กำไร 10,498.93 ล้านบาท หรือ 0.36 บาทต่อหุ้น โดย ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 216,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129,570 ล้านบาท จากช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง PTT คาดว่าราคาน้ำมันดิบในปี 2564 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 63-68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2.0-2.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนราคากลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ในไตรมาส 3/64 มีแนวโน้มปรับตัวลง โดยคาดว่าราคา HDPE และ PP เฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 1,080-1,100 ดอลลาร์ต่อตัน และ 1,180-1,200 ดอลลาร์ต่อตัน
ด้านราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ในไตรมาส 3/64 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยราคา BZ คาดว่าจะเฉลี่ยที่ระดับ 970-990 ดอลลาร์ต่อตัน และราคา PX คาดว่าจะเฉลี่ยที่ระดับ 890-910 ดอลลาร์ต่อตัน
สำหรับความคืบหน้าโครงการสำคัญ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เส้นที่ 5 จากระยองไปไทรน้อย-โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ/ใต้ คืบหน้า 94.94% กำหนดแล้วเสร็จปี 2565 ส่วนระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากสถานีควบคุมความดันก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อยที่ 6 ไปยังจังหวัดราชบุรี คืบหน้า 99.90% กำหนดแล้วเสร็จปี 2564
ส่วนโครงการ LNG Receiving Terminal 2 คืบหน้า 79% โดย ปตท. ดำเนินการขยายกำลังการแปรสภาพ LNG ที่ 7.5 ล้านตันต่อปี มีกำหนดส่งก๊าซธรรมชาติได้ภายในปี 2565