ผู้เสียหายจากการถูกนักจิตวิทยาการปรึกษาล่วงละเมิดทางเพศ เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข (กมธ. สธ.) สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายคุ้มครองผู้ป่วยอย่างเร่งด่วน พร้อมผลักดันให้วิชาชีพ “นักจิตวิทยาการปรึกษา” ต้องมีใบประกอบโรคศิลปะและกลไกตรวจสอบจริยธรรมที่เข้มแข็ง หลังสมาคมวิชาชีพที่กำกับดูแลโดยตรงอ้างว่าไม่มีอำนาจสอบสวนทางวินัย หากคดียังไม่ถึงที่สิ้นสุดในชั้นศาล
เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา ลินินา พุทธิธาร ผู้เสียหาย และผู้ก่อตั้งโครงการ Safe Zone Thailand เพื่อช่วยเหลือผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนด้วยตนเอง โดยมี สิริลภัส กองตระการ โฆษก กมธ.การสาธารณสุข และ สกล สุนทรวาณิชย์กิจ อนุกรรมาธิการฯ เป็นผู้รับมอบ
ลินินาเปิดเผยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ตนตกเป็นเหยื่อของนักจิตวิทยาที่ใช้ความเปราะบางและความไว้วางใจขณะเข้ารับการบำบัด เป็นเครื่องมือในการฉกฉวยผลประโยชน์ในทางเพศ ซึ่งเป็นการละเมิดจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างร้ายแรง แต่เมื่อพยายามเรียกร้องความยุติธรรม กลับต้องเผชิญกับ “ช่องว่าง” ขนาดใหญ่ของระบบ
“ดิฉันเป็นผู้เสียหายจากการถูกนักวิชาชีพด้านสุขภาพจิตละเมิดจรรยาบรรณ และฉกฉวยผลประโยชน์ทางเพศ จากเส้นทางที่พยายามแสวงหาความยุติธรรมพบอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะการดำเนินการไต่สวนและลงโทษทางวินัยจากบางหน่วยงานที่ยังไม่มีประสิทธิภาพหรือความชัดเจน ทำให้กังวลว่าในอนาคตอาจมีผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยซึมเศร้า ที่ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน ขณะที่ผู้กระทำผิดยังสามารถประกอบอาชีพต่อไปได้” ลินินากล่าว
ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา คือเมื่อคุณลินินายื่นเรื่องร้องเรียนไปยังสมาคมจิตวิทยาการปรึกษาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลนักจิตวิทยาคนดังกล่าวโดยตรง กลับได้รับคำชี้แจงว่า สมาคมฯ ไม่มีอำนาจดำเนินการทางวินัยได้ ต้องรอคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดก่อน
อย่างไรก็ตาม ข้ออ้างดังกล่าวดูจะขัดแย้งกับประกาศของสมาคมฯ ฉบับที่ 1/2567 เรื่อง การรับรองมาตรฐานคุณสมบัตินักจิตวิทยาการปรึกษา ซึ่งลงประกาศ ณ วันที่ 22 ก.พ. 2567 โดยในข้อ 4 (2) ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า สมาคมฯ “มีสิทธิ์ในการเพิกถอนใบรับรอง” หากสมาชิก “ถูกร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมที่ละเมิดต่อจรรยาบรรณและสมาคมฯ ได้พิจารณาแล้วมีมติให้เพิกถอนใบรับรอง” ซึ่งในประกาศไม่ได้ระบุเงื่อนไขว่าต้องรอผลคดีจากศาลแต่อย่างใด
ข้อเรียกร้อง 3 ประการสู่การปฏิรูป
การยื่นหนังสือในครั้งนี้ ลินินามีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม 3 ประการ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง
- ตรวจสอบอำนาจที่แท้จริงของสมาคมวิชาชีพด้านสุขภาพจิตทุกสาขา ว่าสามารถดำเนินการทางวินัยต่อสมาชิกที่ละเมิดจรรยาบรรณได้ทันทีโดยไม่ต้องรอคำพิพากษาศาลหรือไม่
- ประเมินกลไกป้องกันการละเมิดจรรยาบรรณขององค์กรด้านสุขภาพจิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน ว่าสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกรมสุขภาพจิตในการคุ้มครองผู้รับบริการหรือไม่
- ศึกษาและสร้างกลไกกำกับดูแลใหม่ สำหรับผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิตที่ยังไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 เช่น การผลักดันให้มีสภาวิชาชีพ และคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยที่เป็นธรรมและโปร่งใส
ทำความเข้าใจ “วิชาชีพด้านสุขภาพจิต” ในไทย
เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงช่องว่างที่เกิดขึ้น จำเป็นต้องแยกแยะวิชาชีพด้านสุขภาพจิตในไทยซึ่งมีกฎหมายควบคุมแตกต่างกัน
- จิตแพทย์ (Psychiatrist) คือแพทย์ที่เรียนต่อเฉพาะทางด้านจิตเวช สามารถวินิจฉัยโรคและสั่งยาได้ อยู่ภายใต้การกำกับของ แพทยสภา ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525
- นักจิตวิทยาคลินิก (Clinical Psychologist) คือผู้ที่วินิจฉัยความผิดปกติทางจิตใจและพฤติกรรมผ่านแบบทดสอบทางจิตวิทยา และทำการบำบัดรักษา อยู่ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการวิชาชีพ สาขาจิตวิทยาคลินิก ตาม พ.ร.บ. การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542
- นักจิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychologist) คือผู้ที่เน้นการให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางใจ ป้องกันปัญหาก่อนเกิด และช่วยเหลือผู้ที่เผชิญภาวะวิกฤต ปัจจุบันวิชาชีพนี้ยังไม่มีกฎหมายควบคุมโดยตรง ไม่ได้อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ ทำให้การกำกับดูแลมาตรฐานและจริยธรรมขึ้นอยู่กับสมาคมวิชาชีพเป็นหลัก ซึ่งยังขาดอำนาจบังคับทางกฎหมายที่ชัดเจน และนี่คือ “ช่องว่าง” ที่ผู้ร้องเรียนต้องการให้ภาครัฐเข้ามาแก้ไข
- เช่นเดียวกับนักจิตบำบัดและนักจิตวิทยาสาขาอื่นๆ เช่น นักศิลปะบำบัด นักปรับความคิดและพฤติกรรม (CBT) นักจิตวิทยาแนะแนว นักจิตวิทยาการกีฬา นักบำบัดด้วยการเคลื่อนไหว นักจิตวิทยาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กร และนักสุขภาพจิต
ภาพ: สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
กมธ. รับลูก ยันผลักดันถึงที่สุด
ด้าน สิริลภัส กองตระการ ได้ชื่นชมความกล้าหาญของลินินาที่ออกมาเปิดเผยตัวตนเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้ผู้เสียหายรายอื่น “การที่ผู้มีบาดแผลทางใจต้องถูกล่วงละเมิดจากนักบำบัด ถือเป็นการสร้างบาดแผลซ้ำเติมที่ร้ายแรงและรับไม่ได้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง”
ขณะที่ สกล สุนทรวาณิชย์กิจ ยืนยันว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมาธิการฯ เพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมโดยกล่าวว่า “แม้เรื่องนี้จะเคยเข้าสู่การพิจารณาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ความเสียหายยังคงอยู่ ผมจะติดตามและผลักดันเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด”
การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการต่อสู้เพื่อทวงความยุติธรรมส่วนบุคคล แต่เป็นก้าวสำคัญในการจุดประกายให้สังคมและฝ่ายนิติบัญญัติหันมาทบทวนและอุดรอยรั่วของระบบสุขภาพจิตไทย เพื่อสร้างหลักประกันว่า “พื้นที่ปลอดภัย” จะต้องปลอดภัยสำหรับผู้ที่ต้องการการเยียวยาอย่างแท้จริง