สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานเปิดเผยเอกสารของทางอัยการกลางสหรัฐฯ ซึ่งออกมาแจกแจงกลโกงของ แซม แบงก์แมน ฟรายด์ (Sam Bankman-Fried: SBF) อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) และผู้ก่อตั้ง FTX แพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีที่โฆษณาว่าเป็นช่องทางที่ปลอดภัยในการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล
รายงานระบุว่าจนถึงขณะนี้ SBF ยังคงปิดปากเงียบ ไม่ยอมรับในข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น เพียงแต่เน้นย้ำว่าตนเองเสียใจและขอโทษต่อเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น โดยไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเจ้าตัวขอโทษเรื่องอะไร และจนถึงขณะนี้ SBF ยังคงยืนกรานปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าไม่ได้กระทำการฉ้อโกง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- แซม แบงก์แมน ฟรายด์ อดีตซีอีโอ FTX ถูกไต่สวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานกำกับในบาฮามาส
- FTX โดนแฮ็ก! หลังมีการไหลออกของเงินกว่า 1.8 หมื่นล้านบาทแบบไม่ทราบสาเหตุ ด้าน ‘หนึ่ง ปรมินทร์’ เตือน ออกห่างจากแอปพลิเคชัน FTX โดยทันที
- ขนหน้าแข้งไม่ร่วง! ‘Sequoia Capital’ เผยบันทึกมูลค่าการลงทุนทางบัญชีกว่า 7 พันล้านบาทใน FTX เป็น ‘0’ แล้ว
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่หนึ่งวันหลังจากที่ SBF ถูกจับกุมตัวที่บ้านพักในบาฮามาส ทางทีมอัยการสหรัฐฯ ก็เปิดเผยเอกสารที่แฉว่า SBF ไม่เพียงกระทำการฉ้อโกงเท่านั้น แต่ยังทำการวางแผน ‘ตั้งแต่เริ่มต้น’
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการควบคุมการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ตลาดฟิวเจอร์ส (CFTC) ร่วมกับอัยการรัฐบาลกลางจากสำนักงานอัยการสหรัฐฯ ในเขตทางตอนใต้ของนิวยอร์ก กล่าวว่าจากหลักฐานทั้งหมดที่มี SBF เป็นหัวใจสำคัญของ ‘การฉ้อฉลทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกา’
รายงานระบุว่า แบงก์แมน ฟรายด์ ก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยงคริปโต Alameda Research ในเดือนพฤศจิกายน 2017 โดยเจ้าตัวจับมือร่วมกับ แกรี หวัง เพื่อนร่วมรุ่นจาก MIT เช่าพื้นที่สำนักงานในเบิร์กลีย์ แคลิฟอร์เนีย ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว Alameda Research เป็นร้านเก็งกำไร ซื้อ Bitcoin ในราคาที่ต่ำกว่าจากการแลกเปลี่ยนหนึ่งและขายในราคาที่สูงขึ้นในอีกที่หนึ่ง ความแตกต่างของราคาในเกาหลีใต้กับส่วนอื่นๆ ของโลก ทำให้ SBF และหวังทำกำไรมหาศาลจากสิ่งที่เรียกว่า ‘The Kimchi Swap’
ต่อมาในเดือนเมษายน 2019 SBF และหวังพร้อมด้วย U.C. Nishad Singh บัณฑิตจาก Berkeley ได้ร่วมกันก่อตั้ง FTX.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลระหว่างประเทศที่นำเสนอคุณสมบัติการซื้อขายที่เป็นนวัตกรรมใหม่แก่ลูกค้า พร้อมคำมั่นรับรองว่า FTX แพลตฟอร์มที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้
หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลกลางที่ CFTC กล่าวว่า เพียงหนึ่งเดือนหลังจากก่อตั้ง FTX.com ซีอีโออย่าง SBF ก็ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของลูกค้า โดยเฉพาะเงินฝากคริปโตเคอร์เรนซีส่วนบุคคลของลูกค้า เพื่อเก็งกำไรใน Alameda ของตนเอง
ทั้งนี้ในการทำธุรกิจ ผู้บริหารสามารถนำทรัพย์สินของลูกค้าไปบริหารเพื่อทำกำไรได้ เรียกว่า ‘Rehypothecation’ เป็นคำที่ใช้เมื่อธุรกิจใช้ทรัพย์สินของลูกค้าอย่างถูกกฎหมายเพื่อเก็งกำไรและลงทุน ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากลูกค้า แต่ SBF ไม่ได้รับอนุญาตจากลูกค้าให้นำเงินไปใช้ และเงื่อนไขของการใช้งานของ FTX ก็ระบุห้ามอย่างชัดเจน ไม่ให้เจ้าตัว หรือ Alameda ใช้เงินของลูกค้าเพื่ออะไรก็ตาม เว้นแต่ลูกค้าจะอนุญาต
CFTC อ้างอิงรายงานปี 2019 พบว่า ตั้งแต่ก่อตั้ง FTX มีเงินของลูกค้าจำนวนมากไหลเข้าตลาดฟิวเจอร์สเกิน 100 ล้านดอลลาร์ทุกวัน โดย CFTC ระบุว่า การใช้เงินของลูกค้าสำหรับการเดิมพันของ Alameda ถือเป็นการฉ้อโกง
CFTC รายงานว่า ปัญหาของบริษัท Alameda Research ปะทุขึ้นในราวเดือนมิถุนายน 2022 หลังจากที่บริษัทไม่สามารถปฏิบัติตาม Margin Call และภาระผูกพันด้านเงินกู้ได้ ท่ามกลางราคาคริปโตที่ร่วงลงอย่างหนัก ประกอบกับการล่มสลายของ Terra, Celsius และ Three Arrows Capital จนราคาสินทรัพย์คริปโตร่วงระนาวและและทำให้เกิดการชำระบัญชีจำนวนมาก
ในช่วงเวลาดังกล่าว แบงก์แมน ฟรายด์ บอกให้ผู้บริหาร FTX ปรับโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินของ Alameda ซึ่งอาจมากกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ ตามที่ FTX รายงานไว้เบื้องต้น ถือเป็นการกระทำที่แสดงเจตนาปกปิดการฉ้อโกง
สื่อในสหรัฐฯ รายงานว่า นอกจากคดีทางแพ่งแล้ว แบงก์แมน ฟรายด์ ต้องเผชิญกับข้อหาฉ้อโกงทางอาญาเช่นกัน นับเป็นการล่มสลายอย่างรวดเร็วของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กอบกู้วงการคริปโต
ขณะนี้ SBF กำลังมุ่งหน้าไปยังศาล Bahamian เพื่อมอบตัวและเข้าสู่กระบวนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเพื่อเข้าร่วมการพิจารณาคดีในสหรัฐฯ ต่อไป โดยทางการสหรัฐฯ 3 แห่ง คือ อัยการสหรัฐฯ จาก Southern District of New York (SDNY) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) และ CFTC ได้ตั้งข้อหาอดีตซีอีโอของ FTX ในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน หลังจากการจับกุม แบงก์แมน ฟรายด์ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา
วันเดียวกัน ทาง Delphi Digital ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทกี่ยวกับคริปโต เปิดเผยพบภาวะเงินไหลออกในปริมาณมหาศาลจาก Binance แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการไหลออกสุทธิมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงวันที่ 13-14 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่ง Delphi Digital คาดว่า กระแสการถอนเงินจำนวนมากอาจเกิดจากการล่มสลายของแพลตฟอร์ม FTX จนฉุดให้ระดับความน่าเชื่อถือต่อแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ในวงการลดต่ำลง
ขณะที่ทาง Changpeng Zhao (CZ) ซีอีโอของ Binance ยืนยันว่าสินทรัพย์ทั้งหมดในการแลกเปลี่ยนนั้นได้รับการสำรองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ดังนั้น ลูกค้าของ Binance สามารถถอนสินทรัพย์ที่มีบน Binance ได้ 100% โดยที่ทาง Binance ไม่ได้มีผลกระทบแต่อย่างใด
อ้างอิง: