จากกรณีที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความตั้งใจที่จะนำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมาใช้งานอีกครั้ง โดยหวังว่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ล่าสุด ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า หากพิจารณาจากข้อมูลในอดีตช่วงที่ยังมีกองทุน LTF จะมีเงินทุนระยะยาวเข้ามาในตลาดทุนปีละประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ช่วยให้ตลาดมีความเสถียรมากขึ้น
หลังจากที่กองทุน LTF ถูกยกเลิกไป “บทบาทของผู้ลงทุนสถาบันไทยลดลงต่อเนื่อง จากที่เคยมีสัดส่วนถือครองหุ้นไทยราว 10-11% ลดลงมาเหลือ 8% ตอนนี้ทุกฝ่ายเห็นภาพเหมือนกันว่าจะฟื้นสัดส่วนของสถาบันได้อย่างไร” ศรพลกล่าว
ด้าน ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานต่างๆ ส่วนการนำกองทุน LTF กลับมาใช้อีกครั้งจะเกิดขึ้นจริงและทันในปีนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล
“หากดูจากอนุมัติกองทุน ThaiESG เมื่อปีก่อน จะเห็นว่าค่อนข้างรวดเร็ว หากภาครัฐเห็นด้วยกับนโยบาย LTF ก็น่าจะเห็นความคืบหน้าโดยเร็ว” ภากรกล่าว
พร้อมกันนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวบริษัทจดทะเบียนไทยที่ขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคต่างๆ และมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเมื่อปี 2022 มี 335 บริษัทที่เปิดเผยรายได้จากต่างประเทศรวมกัน 5.81 ล้านล้านบาท
จากสถิติที่ผ่านมานับแต่เดือนกรกฎาคม 2559 – 31 มีนาคม 2567 จะเห็นว่าการลงทุนเฉพาะหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ ทั้งหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ล้วนให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
โดยการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่จดทะเบียนอยู่ใน SET และมีรายได้จากต่างประเทศ ให้ผลตอบแทนรวม 66.10% ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีรายได้จากต่างประเทศให้ผลตอบแทนรวม 28.61% ขณะที่ดัชนี SET ให้ผลตอบแทนรวม 20.55% ในช่วงเวลาเดียวกัน