วานนี้ (18 กรกฎาคม) เมื่อเวลา 21.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต. ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) และโฆษก บช.น., พล.ต.ต. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) และ พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ร่วมแถลงข่าวสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมเยาวชนปลดแอกเมื่อช่วงเย็นวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
พล.ต.ต. ยิ่งยศ กล่าวว่า การชุมนุมในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การดำเนินการของตำรวจมีการใช้กำลังจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล 14 กองร้อย จากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน 4 กองร้อย โดยกฎหมายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เป็นหลักคือ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คือห้ามการจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของคนที่มีคนรวมกันมากกว่า 5 คน ด้วยเหตุผลนี้การแจ้งการชุมนุมตาม พ.ร.บ. ชุมนุมสาธารณะ คงไม่สามารถนำมาใช้ในห้วงเวลานี้ได้ ด้วยเหตุผลในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด
การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนสิ้นสุด เป็นไปตามขั้นตอนการควบคุมฝูงชนตามกฎหมายและตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายขั้นต้นพร้อมไปกับการระงับยับยั้งฝูงชนไม่ให้ทำลายทรัพย์สินของทางราชการและสถานที่ราชการ
ด้าน พล.ต.ต. ปิยะ กล่าวว่า กรณีที่มีการนัดหมายชุมนุมของกลุ่มราษฎร, กลุ่มเยาวชนปลดแอก (Free Youth) และกลุ่มภาคีเครือข่ายแนวร่วมต่างๆ #ม็อบ18กรกฎา ในวันที่ 18 กรกฎาคม โดยเริ่มมีการชุมนุมตั้งแต่เวลา 10.00 น. จนกระทั่งเวลา 12.20 น. กลุ่มเยาวชนปลดแอกได้มีการตั้งรถเครื่องเสียงและมีการรวมตัวกัน เวลา 13.00 น. ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล (สน.) สำราญราษฎร์ ได้ประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมเนื่องจากการชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย เวลา 13.10 น. กลุ่มมวลชนได้รวมตัวกันบริเวณผิวจราจร จากนั้นได้นำรถยนต์และรถจักรยานยนต์ปิดการจราจรบริเวณถนนราชดำเนิน และมีการตั้งขบวนเพื่อเดินทางไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล เวลา 13.50 น. กลุ่มมวลชนเริ่มออกเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและมาหยุดที่บริเวณแยกผ่านฟ้า เวลา 15.30 น. ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล (สน.) นางเลิ้ง ได้ประกาศเตือนกลุ่มผู้ชุมนุมให้ยุติการดำเนินกิจกรรม
เวลา 15.40 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มมีการขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่และทำลายทรัพย์สินของทางราชการ จากนั้นได้มีการจุดพลุไฟและเผาสิ่งต่างๆ บริเวณรอบสะพานผ่านฟ้า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศเตือนกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้งแต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความจำเป็นที่จะใช้การฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และกระสุนยางกับกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อป้องกันการเสียหายที่อาจจะลุกลามได้มากกว่านี้ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการกระทำชั่วคราวก่อนเคลื่อนขบวนไปรวมตัวกันยังสะพานชมัยมรุเชษฐ์ โดยใช้เส้นทางถนนนครสวรรค์เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนพิษณุโลกและหยุดรวมตัวกันบริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์
เวลา 17.09 น. อานนท์ นำภา ได้ประกาศให้กลุ่มมวลชนไปรวมตัวกันที่เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์เพื่อเตรียมการปะทะกับเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน เวลา 17.30 น. กลุ่มการ์ด WeVo และมวลชนบางส่วนได้พยายามฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่จึงทำการฉีดน้ำและใช้แก๊สน้ำตา ต่อมาเวลา 17.40 น. แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมมารวมตัวกันบริเวณแยกนางเลิ้ง จากนั้นเวลา 18.20 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้เผาหุ่นจำลองบริเวณแยกนางเลิ้ง เวลา 18.35 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศยุติการชุมนุม แต่ยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนไม่ยอมกลับและยังคงปักหลักบริเวณแยกนางเลิ้ง มีการเผาหุ่นฟางและสิ่งต่างๆ รอบแยกนางเลิ้ง โดยหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ 13 ราย มีตำรวจควบคุมฝูงชนได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ 8 ราย และยังรักษาดูอาการที่โรงพยาบาลตำรวจ 6 ราย
พล.ต.ต. ปิยะ ระบุว่า กรณีที่มีสื่อมวลชนถูกลูกหลงกระสุนยางของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เบื้องต้นทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลต้องขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากการพูดคุยกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเบื้องต้นทราบว่ากระสุนยางพลาดไปโดนที่แขนซ้าย ซึ่งขณะนี้ตัวน้องที่ได้รับบาดเจ็บได้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านแล้ว
ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมที่ยังไม่ยอมกลับหลังจากประกาศยุติการชุมนุมในเวลา 17.30 น. แล้ว ทางสถานีตำรวจนครบาลที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่อไป ซึ่งจะมีความผิดข้อหาร่วมชุมนุมโดยผิดกฎหมายและฝ่าฝืนออกนอกเคหสถานในเวลา 21.00-04.00 น.
ทั้งนี้ การกระทำของผู้ชุมนุมเป็นการรวมกลุ่มที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด ซึ่งรวมกลุ่มมากกว่า 5 คน กระทำการให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและกระทบต่อการใช้รถใช้ถนนของประชาชน ในส่วนของการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่ถูกจับกุมนั้น จะมีความผิดตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 27, ประกาศกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ 36 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, พ.ร.บ. โรคติดต่อฯ, พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ, พ.ร.บ. ความสะอาดฯ, พ.ร.บ. เครื่องขยายเสียงฯ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (ข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์)