วันนี้ (16 เมษายน) เมื่อเวลา 11.45 น. ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ลุมพินี ปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางหลบผู้สื่อข่าวลงทางประตูหลังข้างซ้ายของโรงพัก หลังเข้ามอบตัวกับตำรวจ สน.ลุมพินี ในคดีกระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัลฯ ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยมีแม่บ้านประจำโรงพักมาปลดล็อกกุญแจแล้วเปิดประตูให้
ปริญญ์เผยสั้นๆ ว่า วันนี้ได้มาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาในทุกคดีอย่างเต็มที่ แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ก่อนขึ้นรถ BMW 7 Series ป้ายแดง แล้วเดินทางกลับทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้เวลา 08.00 น. ตำรวจ สน.ลุมพินี นัดปริญญ์ไปยื่นคำร้องฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายอีกครั้ง
ขณะที่ พล.ต.ต. จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) พร้อมด้วย พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ให้สัมภาษณ์ภายหลัง เข้าติดตามการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ สน.ลุมพินี
พล.ต.ต. จิรสันต์ระบุว่าในวันนี้ปริญญ์ ผู้ถูกกล่าวหา ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนเพื่อมอบตัวและรับทราบข้อกล่าวหาทั้ง 3 คดี (ไม่รวมกรณีที่จังหวัดเพชรบุรีเพราะส่งกลับไปพื้นที่)
สำหรับ 3 ข้อหา ได้แก่ ผู้ใดกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุมากกว่า 15 ปี จำนวน 2 คดี และข่มขืนกระทำชำเราอีก 1 คดี เบื้องต้นปริญญ์ให้การปฏิเสธ แต่ให้รายละเอียด โดยนำหลักฐานเอกสารต่างๆ มอบให้พนักงานสอบสวนด้วย ซึ่งจากนี้พนักงานสอบสวนก็จะรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีเพื่อเตรียมจะขอหมายจับ แต่ผู้ต้องหาเข้ามามอบตัวและรับทราบข้อกล่าวหา ดังนั้นพนักงานสอบสวนจึงทำการแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำ ทำให้ไม่มีอำนาจในการควบคุมตัว ขั้นตอนต่อไปจึงต้องเป็นการขออำนาจศาลออกหมายขัง ซึ่งเป็นเทศกาลสงกรานต์ ศาลอาญากรุงเทพใต้จะเปิดทำการในวันพรุ่งนี้ (17 เมษายน)
ขณะที่ในวันนี้จะมีการลงบันทึกประจำวันไว้ และนัดหมายปริญญ์ต่อในวันพรุ่งนี้เวลา 08.00 น. เพื่อไปขออนุมัติการออกหมายขัง และถ้าหากปริญญ์ประสงค์จะขอประกันตัวก็ต้องไปขอที่ศาลเช่นกัน โดยย้ำว่าเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายและพยานหลักฐาน แม้ไม่มีอำนาจในการควบคุมตัว แต่ถ้าผู้ต้องหาไม่มาตามนัดวันพรุ่งนี้ก็ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นเร่งด่วน สามารถจับกุมได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ
พล.ต.ต. จิรสันต์ระบุต่อว่า หลังจากนี้หากมีผู้เสียหายมาแจ้งความเพิ่มเติมก็จะต้องทำการรวบรวมหลักฐาน และเมื่อพบว่ามีความผิดก็จะต้องดำเนินคดีแบบต่างกรรมต่างวาระกัน